การแสวงหาเพื่อนและการจูงใจผู้คน: การสอนทักษะเรื่องปฏิกิริยาทางสังคม
จอห์น เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนในสาขาปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ได้เข้าสอบสัมภาษณ์ งานเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่เขาจบในสาขาที่มีความต้องการสูง เขาก็ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาบอกฉันว่า เขาไปรับการสัมภาษณ์สายอยู่เนืองๆ ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นที่จะทำอย่างมียุทธศาสตร์เพื่อให้ไปทันเวลา มีใครบางคนที่จะเตือนเขาว่าเมื่อไรที่เขาต้องออกจากบ้านแล้ว การรู้เส้นทางไปสัมภาษณ์ล่วงหน้าและการไปถึงแต่เนิ่นๆ
หลังการ สัมภาษณ์ที่สำคัญครั้งหนึ่ง ฉันโทรศัพท์เพื่อถามเขาว่า เป็นอย่างไรบ้าง “ไปได้ดีทีเดียว” เขาอุทาน “ผมไปตรงเวลา แต่คุณคงไม่เชื่อว่า เกิดอะไรขึ้น ผู้จัดการมาสาย ผมเลยบอกเขาว่า เฮ้ คุณควรจะมาสัมภาษณ์งานตรงเวลานะ”
ไม่ จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า จอห์นไม่ได้งาน เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไปตรงเวลา ภายใต้สถานการณ์นั้น บางทีความโกรธของเขาก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ควรจะแสดงออกมา และเขาคงจะไม่เสียความรู้สึกถ้าฉันจำไว้ว่าจะต้องสอนเขาว่า ผู้สมัครต้องตรงเวลาแต่ผู้สัมภาษณ์มาสายเสมอ
การที่จอห์นถูกปฏิเสธ อย่างสม่ำเสมอในตลาดงานเป็นเส้นคู่ขนานไปกับการนัดหมายและการผูกมิตร ปราศจากทักษะปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่จำเป็น ชีวิตของจอห์นก็มุ่งสู่ความโดดเดี่ยวและการตกงาน
คุณพ่อคุณแม่ที่มี ลูกบกพร่องทางการเรียนรู้ส่วนมากจะสอดคล้องกับเรื่องของจอห์นและตระหนักถึง ความสำคัญของการสอนทักษะทางสังคม แม้กระนั้นก็ตาม ในปัจจุบันนี้มันยากมากกว่าแต่ก่อนที่จะทำดังนั้น ประการแรก เรื่องทางเศรษฐกิจที่มักทำให้พ่อแม่ทั้งสองคนจำเป็นต้องใช้เวลาทำงานยาวนาน ขึ้นเพื่อจะรักษามาตรฐานการดำรงชีวิต โชคร้าย ที่นั่นหมายถึงเวลาที่น้อยลงสำหรับกิจกรรมในครอบครัว
กฎทางสังคม กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ความหยาบคายดูเหมือนไม่อาจจะควบคุมไว้ได้ การนัดหมายเป็นเรื่องสับสนมากจนกระทั่งคนเรามาถึงนาทีที่พรั่นพรึง เมื่อบริกรนำบิลล์มา และถึงจุดที่ตัดสินใจว่าใครจะจ่าย ความคลุมเครือในวันนี้เป็นเรื่องน่าสับสนกับทุกๆคนและยากเป็นพิเศษสำหรับ บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้
ลองดูสถานการณ์นี้ พ่อแม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างไร กลุ่มสมาคมผู้ใหญ่และเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ (ACLD – Adults and Children with Learning and Developmental Disabilities) จะสามารถช่วยเหลือครอบครัวสมาชิกอย่างไร นี่เป็นความคิดบางอย่างซึ่งอาจจะช่วยเหลือได้แม้ว่ามันสามารถพูดได้ง่ายกว่า ทำก็ตาม
- พัฒนาเครือข่ายสังคมครอบครัวให้แข็งแรงและพยายามที่จะให้ลูกของคุณเผชิญกับ ผู้คนมากๆเท่าที่จะทำได้ ยิ่งลูกของคุณเผชิญผู้คนมากเท่าไร เป็นไปได้มากขึ้นที่เขาจะพบคนที่จะชอบเขาและเต็มใจที่จะยอมรับเขาและปัญหา โดยเฉพาะของเขา
- ปฏิบัติต่อลูกของคุณด้วยการเคารพเขาและมั่นใจว่าคนอื่นปฏิบัติต่อเขาดัง นั้นด้วยเหมือนกัน บ่อยๆที่แต่ละคนอาจพูดกับบุคคลที่พิการด้วยเสียงดังและสูง ใช้ภาษาท่าทางที่ดูเหนือกว่าและเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้บางคนอาจเลียนแบบรูปแบบการพูดเหล่านี้ ทำให้เกิดผลที่เลวร้าย ถ้าลูกของคุณได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ เขาก็จะปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความเคารพเช่นกัน
-
สนับสนุนให้สังเกต การสามารถที่จะสังเกตสิ่งแวดล้อมอย่างถี่ถ้วนเป็นเงื่อนไขจำเป็นอันดับแรก ที่จะรับรู้สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด บุคคลที่มีปัญหาการรับรู้ทางประสาทสัมผัสจะมีความลำบากต่อการสังเกต หลายคนพบโลกภายในของพวกเขามีความมั่นคงมากกว่าและชอบที่จะฝันกลางวันแทนที่ จะอยู่กับการระแวดระวังสิ่งแวดล้อม วิธีการที่จะสนับสนุนให้สังเกตรวมไปถึง
- เรียกความสนใจของบุคคลที่เป็น LD หรือบกพร่องทางการเรียนรู้ เมื่อเขามีท่าที จะ “ใจลอย” เช่น “มองไปที่ต้นไม้” อาจจะถามเขาว่า “ลูกได้ยินเสียงนกร้องไหม”
- สนับสนุนปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น “ลูกชอบดอกไม้นี่ไหม ดอกไม้ ดอกไหนที่ลูกชอบมากที่สุด” “ดูคนที่กำลังสร้างบ้านพวกนั้นซิ พวกเขากำลังทำอะไร ลูกคิดว่า งานของพวกเขาอันตรายไหม ลูกอยากทำบ้างไหม ลูกคิดว่า เขากำลังผสมอะไรในถังนั่น”
- ถามลูกของคุณในสิ่งที่เขาเห็น อาจถามเขาว่า “อะไรคือสิ่งที่ลูกเห็นแล้วสนใจ มากที่สุดในการขึ้นรถเมล์” “ลูกสังเกตเห็นอะไรตอนที่เดินไปโรงเรียนวันนี้” “เขาสร้างศูนย์การค้าเสร็จแล้วหรือยัง”
- สนับสนุนการสังเกตพฤติกรรมที่ไม่ใช่คำพูด ลองแสดงอารมณ์แล้ว ให้เด็กๆทายว่า เป็นความรู้สึกอะไร ลองให้เขาทายอารมณ์ของสมาชิกในครอบครัว หรี่เสียงโทรทัศน์ลงแล้วให้เขาทายภาษาท่าทางของตัวละคร
- แสดงบทบาทสถานการณ์ทางสังคมที่ยุ่งยาก ให้ลูกของคุณฝึกฝนการขอร้องครูให้ขยายเวลาการทำงานหรือการคุยกับนายจ้าง เพื่อสัมภาษณ์งาน คุณอาจเล่นเป็นครูหรือนายจ้างแล้วให้ผลตอบกลับกับเด็ก
-
สร้างบทสนทนาที่เป็นเรื่องราวหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง นักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าบกพร่องทางการเรียนรู้ในระบบโรงเรียนจะคุ้น เคยกับบทสนทนาที่เป็นคำถาม คำตอบตามแบบฉบับ เช่น “เป็นอย่างไรบ้างวันนี้”
“ ดีค่ะ/ครับ ”
“ เธอทำอะไรบ้าง ”
“ หนู/ผมทำแฮมเบอเกอร์ค่ะ/ครับ ”
“ เธอทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ”
“ ฝากเงินค่ะ/ครับ ”
บทสนทนาแบบนี้ ผู้ถามคำถามถามคำถามรุกทางเดียวทั้งหมด บางครั้ง นี่เป็น เพราะว่าบุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ไม่ต้องการคุยหรือมีความบกพร่องทางด้าน ภาษา แต่สำหรับบุคคลที่เป็นแอลดีส่วนใหญ่ มันเป็นแบบของบทสนทนาแบบเดียว เท่านั้นที่เขารู้จักวิธีคุย คุณพ่อคุณแม่และมืออาชีพทั้งหลายควรจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การสนทนาอย่างใช้ความคิดมากขึ้นไปสู่รูปแบบการสนทนาแบบมีหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดยการ- พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์และกิจกรรมของคุณ โดยคาดหวังว่าลูกของคุณจะฟังและโต้ตอบ
- โต้ตอบด้วยคำพูดมากกว่าคำถาม เช่น “แตกต่างกันทีเดียวระหว่างทำแฮมเบอเกอร์ให้คนห้าสิบคนกับให้ครอบครัว”
- แสดงทัศนะของคุณ เมื่อคุณและลูกของคุณมีความเห็นขัดแย้งกัน สนับสนุนให้ลูกคุณปกป้องทัศนะของตนเองอย่างเหมาะสม
-
สนับสนุนให้ลูกของคุณร่วมกลุ่มสนทนา เด็ก LD ส่วนใหญ่ถูกครอบครัวละเลยและถูกแย่งบทสนทนาไป สอนกฎการสนทนาให้กับเขาว่า คุณมองบุคคลเป็นกลุ่มและพวกเขาจะมองหันกลับมาก่อนที่คุณจะพูด ถ้าลูกของคุณดูเป็นคนเงียบ ถามความคิดของเขาและช่วยเขาให้เข้าสู่บทสนทนาอย่างเหมาะสม เมื่อเขามีอะไรบางอย่างที่จะพูด ถ้าเขาพูดอยู่คนเดียว อธิบายว่า คนทั่วไปมักจะโกรธคนที่พูดมากจนเกินไป เขาอาจไม่ได้สังเกตการชำเลืองที่ซ่อนความโกรธอยู่ หรือความพยายามที่จะเพิกเฉยเขาไป แล้วสอนกลยุทธ์การรับมือ เช่น
- มองหน้าผู้คนที่ท่านพูดด้วย
- นับเวลาที่ท่านพูดและจำกัดมัน
- เรียนรู้สัญญาณจากคนอื่นเมื่อพวกเขาต้องการที่จะขัดจังหวะคุณ
-
เด็กที่บกพร่องทางภาษาต้องการที่จะเรียนรู้ทักษะทางสังคมเป็นการเฉพาะ เช่น
- รู้จักฟัง
- ทำท่าทีสงสัยถ้าไม่เข้าใจ ผู้พูดจะได้พูดซ้ำเองโดยอัตโนมัติ
- รักษาการประสานสายตาในขณะที่พวกเขาพูด และพัฒนาภาษาท่าทางเพื่อว่าเขาสามารถรักษาเวที และไม่ยอมให้ขัดจังหวะ เพื่อพูดให้จบความ
- จดจำบทที่จะต้องพูดเกี่ยวกับตนเองให้คนอื่นฟังให้ได้ เช่น “ฉันทำงานเป็นแคชเชียร์ที่แมคโดนัลด์ ฉันสนุกกับงานมากและอยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ดีมาก แต่ฉันก็กำลังมองหางานอื่นที่จ่ายดีกว่านี้” บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้กล่าวเช่นนี้เพื่อตอบคำถามว่า “คุณทำอะไร” บทที่จดจำมานี้จะช่วยเริ่มต้นบทสนทนา คำพูดที่จดจำมาหลายๆอย่างกับเกร็ดประวัติตนเองที่จดจำมาจะช่วยในการคุยกัน อย่างมากทีเดียว
- เด็กทุกคนโดยเฉพาะคนที่บกพร่องทางภาษาต้องการงานอดิเรกและความสนใจต่างๆ เพื่อพวกเขาจะได้มีสิ่งที่พูดคุยถึง ชายหนุ่มที่บกพร่องทางการเรียนรู้คนหนึ่งซึ่งพูดคุยน้อยมากมีความสัมพันธ์ อันดีกับบุคคลอื่นในชมรมแสตมป์ บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้อีกมากทีเดียวมีบทบาทเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ใช้ คอมพิวเตอร์
พ่อแม่ส่วนมากอ่านคำแนะนำเหล่านี้แล้วเกิดคำถามว่า พ่อแม่เป็นบุคคลที่ดีที่สุดที่จะดำเนินการฝึกทักษะทางสังคมหรือไม่ โดยเฉพาะเวลาหลังจากที่เด็กกลายเป็นวัยรุ่นไปแล้ว ในความคิดเห็นของฉัน ความเกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้น การเข้าสังคมควรเกิดขึ้นในชุมชนกับที่บ้าน
กลุ่มสมาคมผู้ใหญ่และเด็ก ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ (ACLD – Adults and Children with Learning and Developmental Disabilities) สามารถสร้างแหล่งทรัพยากรสำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมให้ดีขึ้น นี่เป็นรูปแบบที่เป็นไปได้บางอย่าง
- แผนกเยาวชนและผู้ใหญ่ ปกตินำโดยเยาวชนและผู้ใหญ่ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ กลุ่มเหล่านี้ปฏิบัติตนในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมและสามารถสนับสนุนการ เข้าร่วมสังคมกัน ผู้ใหญ่ที่บกพร่องทางการเรียนรู้จะเกี่ยวพันกับความพยายามในการสนับสนุนส่ง เสริมตนเองและบ่อยทีเดียวจะเกี่ยวกับการวางแผนการประชุมระดับมลรัฐ
- ชมรมวัยรุ่น ปกติอยู่ภายใต้การนำของพ่อแม่อาสาสมัครของสมาคม กลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้จะเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางสังคม เช่น โบว์ลิ่ง ปิคนิค ภาพยนตร์ และปาร์ตี้
- ชั้นเรียนทักษะทางสังคม กลุ่มสมาคม ACLD อาจต้องการที่จะพิจารณาการจ้างมืออาชีพมาสอนทักษะทางสังคมให้กับนักเรียน หรือแม้แต่จะดำเนินการเรื่องกลุ่มที่ปรึกษา
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร