ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) กับแนวทางทางกฎหมายและการปฏิบัติสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ตอนที่ 1 (22/04/2011)

โดย ปีเตอร์ ดับบลิว ดี ไรท์และพาเมล่า แดร์ ไรท์ (2003)

ในบทความนี้

  • บทนำ
  • ใน IEP ควรมีอะไรบ้าง
  • กฎหมายและกฎเกณฑ์
  • แนวทางปฏิบัติสำหรับคุณพ่อคุณแม่

หมายเหตุของบรรณาธิการ www.ldonline.org: บทความนี้ตีพิมพ์ก่อนการทบทวนอนุมัติใช้กฎหมายพระราชบัญญัติการศึกษาเพื่อคน พิการในปี 2004  ขณะที่เนื้อหาในกฎหมายฉบับนี้ส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม  มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างในเรื่องของภาษาและกระบวนการ  เรายังคงเสนอบทความนี้เพราะว่า  มีข้อมูลที่มีค่าซึ่งยังใช้ได้กับกฎหมายฉบับปัจจุบัน (ของสหรัฐอเมริกา)

บทนำ
ถ้าคุณเหมือนคุณพ่อคุณแม่ส่วนมาก  เมื่อคุณได้รับโทรศัพท์หรือจดหมายเชื้อเชิญไปร่วมประชุม IEP คุณจะรู้สึกเป็นกังวล  มีคุณพ่อคุณแม่ไม่กี่คนที่มีความตั้งใจอยากเข้าร่วมการประชุม IEP  คุณอาจรู้สึกกังวล สับสนและไม่เหมาะสมจะเข้าร่วมการประชุมของโรงเรียน  บทบาทของคุณคืออะไร  คุณต้องนำเสนออะไร  คุณควรจะทำอะไร  พูดหรือ  ไม่ทำหรือ เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่นักการศึกษา  คุณพ่อคุณแม่ส่วนมากไม่เข้าใจว่า  พวกเขามีบทบาทที่โดดเด่นในกระบวนการ  IEP

คุณพ่อคุณแม่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญของลูก
ลอง คิดดูซิ  คุณใช้เวลานานหลายชั่วโมงทุกสัปดาห์ในการติดตามดูแลลูก  คุณทำการสังเกตลูกของคุณในสถานการณ์ต่างๆ นับร้อยสถานการณ์   คุณมีอารมณ์เชื่อมโยงและประสานสัมพันธ์กับลูกของคูณ  คุณสังเกตเพียงเล็กน้อยแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในอารมณ์และความ ประพฤติของลูกคุณซึ่งคนอื่นๆ อาจจะมองข้ามไป  คุณรู้อะไรที่พิเศษมากเกี่ยวกับลูกของคุณ  ซึ่งจะช่วยอธิบายว่า ทำไมทัศนะเกี่ยวกับลูกของคุณอาจจะแตกต่างทีเดียวจากนักการศึกษาซึ่งสังเกต ลูกของคุณในสภาวะแวดล้อมที่โรงเรียน

ทำไมคุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวล  ไม่เหมาะสมและรู้สึกกลัวการประชุมที่โรงเรียน  คุณพ่อคุณแม่ส่วนมากดูเหมือนจะเชื่อว่า เพราะว่าตนเองไม่ใช่  “นักการศึกษาที่ถูกฝึกอบรมมา” และไม่พูด “ภาษาทางการศึกษาที่เข้าใจยาก”  พวกเขาทำอะไรได้น้อยที่จะร่วมช่วยในการอภิปรายในเรื่องการศึกษาของลูกตนเอง

บทบาทของคุณพ่อคุณแม่
บางทีเราสามารถอธิบาย “บทบาทของพ่อแม่”  ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นถ้าเราเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่บอกจุดยืนของเรา
คิดกลับไปที่ครั้งสุดท้ายที่ลูกของคุณป่วยและคุณพาไปหาแพทย์เพื่อรักษา  คุณให้ข้อมูลกับแพทย์และพยาบาลเกี่ยวกับอาการและสุขภาพโดยทั่วไปของลูกคุณ  เขาถามเกี่ยวกับการสังเกตอาการของคุณ- เพราะว่าคุณคุ้นเคยกับลูกของคุณมากกว่า

แพทย์และพยาบาลผู้ให้การ เอาใจใส่เพื่อสุขภาพที่ดีของเราได้รับข้อมูลชนิดนี้จากคุณพ่อคุณแม่  พวกเขาไม่ได้ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้รับการฝึกฝนทางการแพทย์แล้ว จะให้ข้อมูลที่มีคุณค่าน้อย!  เมื่อนักการอาชีพทางด้านการรักษาพยาบาลวินิจฉัยอาการและรักษาเด็กๆ พวกเขารวบรวมข้อมูลจากหลายๆแหล่งที่แตกต่างกัน  การสังเกตเด็กถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ  การสังเกตทางการแพทย์ของแพทย์เองและการทดสอบจากห้องปฏิบัติการจะเป็นข้อมูล เพิ่มเติมจากการสังเกตโดยส่วนตัวของคุณพ่อคุณแม่เอง

คุณจำเป็นต้อง ฝึกอบรมทางด้านการแพทย์ไหมก่อนที่คุณจะมีข้อมูลที่สำคัญและใช้ประโยชน์ได้ เกี่ยวกับสุขภาพของลูกคุณให้กับแพทย์  แน่นอนว่า ไม่

การตัดสินใจ: ทางการแพทย์และทางการศึกษา
การ จะวินิจฉัยปัญหาของเด็กและพัฒนาแผนการรักษาที่ดี  แพทย์ต้องการมากกว่าการสังเกตส่วนตัว  โดยไม่ได้คำนึงถึงทักษะและประสบการณ์  ในกรณีส่วนมากแพทย์ต้องการข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับเด็ก  ข้อมูลจากการทดสอบวินิจฉัยจะให้ข้อมูลที่เป็นจริง  เมื่อผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เผชิญปัญหา  พวกเขาจะรวบรวมข้อมูล  ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสังเกตโดยตนเองและคนอื่นๆ และจากการทดสอบที่เป็นจริง

การ ตัดสินใจเรื่องการศึกษาพิเศษคล้ายคลึงกับการตัดสินใจทางการแพทย์  หลักเกณฑ์สำคัญนั้นเหมือนกัน  การตัดสินใจทางการศึกษาที่ดีนั้นรวมไปถึงการสังเกตโดยบุคคลที่รู้จักเด็กดี และข้อมูลที่เป็นจริงจากการทดสอบและการประเมินที่หลากหลาย

ใน สถานการณ์ทางการแพทย์และการศึกษาทั้งสองสถานการณ์  เด็กกำลังมีปัญหาว่า  ต้องถูกคัดแยกอย่างถูกต้อง  แผนการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือ IEP  คล้ายคลึงกับแผนการรักษาทางการแพทย์  IEP รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับระดับปัจจุบันในการแสดงออกของเด็กในการทดสอบและการ วัดที่หลากหลาย   IEP ยังรวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์สำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำอย่างไรกับปัญหาทางการศึกษา  IEP ควรจะรวมไปถึงวิถีทางซึ่งคุณพ่อคุณแม่และนักการศึกษาจะวัดความก้าวหน้าของ เด็กที่มุ่งไปยังเป้าหมายและวัตถุประสงค์ด้วยเหมือนกัน

วิธีประเมินความก้าวหน้า
คราว นี้ ให้คิดกลับไปถึงครั้งสุดท้ายที่ลูกของคุณป่วยและต้องการการใส่ใจทางการ แพทย์  คุณออกจากสำนักงานแพทย์พร้อมกับแผนการว่า มีการนัดให้กลับมาติดตามผล  เมื่อคุณกลับไปพบแพทย์เพื่อติดตามผล  คุณจะถูกถามคำถามมากขึ้นว่า ลูกของคุณเป็นอย่างไรบ้าง  เป็นอีกครั้งที่คุณจะถูกถามเกี่ยวกับการสังเกตของคุณ  ข้อมูลนี้ช่วยเหลือแพทย์ให้ตัดสินใจว่า ลูกของคุณตอบสนองต่อการรักษาได้อย่างเหมาะสมหรือไม่  ถ้าคุณให้คำแนะนำว่า ลูกของคุณไม่ตอบสนองต่อการรักษาและยังคงมีปัญหาต่างๆ แพทย์ก็จะทราบว่า ต้องทำการวินิจฉัยอาการเพิ่มมากขึ้น  และแผนการรักษาอาจจะต้องเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ ของการศึกษาพิเศษนั้นคล้ายคลึงกับสถานการณ์ทางการแพทย์  ยกเว้นแต่ว่า  การตัดสินใจนั้นเป็นของกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า ทีม IEP หรือคณะกรรมการ IEP  ในฐานะเป็นพ่อแม่คุณเป็นสมาชิกของทีม IEP ก่อนทีทีม IEP จะสามารถพัฒนาแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ IEP สำหรับลูกของคุณได้อย่างเหมาะสม  ปัญหาของลูกของคุณต้องถูกระบุและอธิบายไว้อย่างถูกต้อง

การที่จะ วินิจฉัยอย่างถูกถ้วน ทีม IEP จะต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง  ข้อมูลนี้จะรวมไปถึงการสังเกตเด็กเป็นการส่วนตัวในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย  รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่บ้านและในชั้นเรียน  ข้อมูลควรจะรวมไปถึงการทดสอบตามสภาวะจริง  การทดสอบที่เป็นจริงจำเป็นจะต้องทำเพื่อวัดการขยายตัวของปัญหาของเด็กและจุด มาตรฐานที่จะวัดความก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าเลยในช่วงที่ผ่านมา

ถ้า เด็กๆ ได้รับบริการการศึกษาพิเศษ  คุณทราบว่า แผนการศึกษาฉบับใหม่หรือ IEP ต้องได้รับการพัฒนาสำหรับลูกของคุณอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี  เพราะเหตุใดหรือ

เด็กๆ เติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  ความต้องการทางการศึกษาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเหมือนกัน  ในหลายๆ กรณี  IEP จำเป็นจะต้องได้รับการทบทวนใหม่มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี คุณพ่อคุณแม่และนักการศึกษาสามารถจะร้องขอการประชุมเพื่อทบทวน IEP มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี  และ IEP ฉบับใหม่สามารถจะพัฒนาได้บ่อยเท่าที่จำเป็น

แผนการศึกษาของเด็ก เช่น IEP ควรจะรวมถึงข้อมูลจากการทดสอบที่เป็นจริงเสมอ  และข้อมูลที่ให้โดยกลุ่มบุคคล  รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครู  ซึ่งสังเกตเด็กได้บ่อยๆ

แปลและเรียบเรียงจาก Your Child’s IEP: Practical and Legal Guidance for Parents by Peter W.D. Wright and Pamela Darr Wright (2003) จาก http://www.ldonline.org
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร

ภาพประกอบบทความหน้าต่าง LD

แบบประเมินคุณภาพสื่อ สสพ.

คุณพอใจกับคุณภาพสื่อข้างต้นมากน้อยเพียงใด
  • พอใจมาก0
  • พอใจ0
  • ปานกลาง0
  • ไม่พอใจ0
  • ไม่พอใจมาก0
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก