“ประสบการณ์ที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เพลง ยิ้มสู้ ให้กับคนตาบอด ใช้ในการซ้อมเพื่อหารายได้ให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอด ในปี ๒๔๙๕ และพระองค์ยังทรงพระกรุณาธิคุณเรื่องเครื่องเล่นมิวสิคบ๊อกขนาดใหญ่ ซึ่งมี ๘ เพลง เป็นที่ชื่นชอบของเด็กนักเรียน และคลื่นนี้ก็ยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
พระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ พระราชทานเลี้ยงคนตาบอดทุกวันปีใหม่ ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทุกปีทรงมีอุปกรณ์สำหรับคนตาบอด เช่น นาฬิกาที่มีอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอด มาให้พวกเราจับฉลากปีละ 10 เรือน ตัวเองยังเคยจับฉลากได้หนึ่งเรือนเก็บรักษาเป็นอย่างดี แต่ภายหลังได้หายไปรู้สึกเสียดายมาก หากใครจับไม่ได้นาฬิกาก็มีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ แตกต่างกันไปแต่ได้ครบทุกคน ระหว่างงานเลี้ยงทรงเป่าแซกโซโฟนให้พวกเราฟัง โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ พระราชทานโดยพระองค์เอง ยังความซาบซึ้งและยินดีแก่พวกเรามากที่พระองค์ไม่ถือพระองค์เลย จำได้ว่าพวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย จนนางสนองพระโอษฐ์พูดหยอกเย้าว่า “กลุ่มนี้วางแล้วหาย วางแล้วหาย”
ในฐานะคนพิการเราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า เพราะพระราชดำรัสของพระองค์เมื่อปี 2517 ว่า ต้องช่วยเหลือคนพิการให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ผมจึงรณรงค์ให้คนพิการมีการศึกษาเพื่อประกอบสัมมาอาชีพได้ โดยไม่เป็นภาระของครอบครัว เช่น เพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน นอกจากหารายได้จากตรงนี้ได้แล้ว ยังช่วยบริหารระบบของกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง ตลอดเวลายามท้อแท้หรือหมดกำลังใจจะเปิดเพลงยิ้มสู้ เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นพลังในการดำเนินชีวิต ซึ่งเชื่อมั่นว่ารอยยิ้มของพวกเราสามารถสร้างกำลังใจให้คนอื่นๆ ได้