การบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษา ตอนที่ 2 (Nonverbal Learning Disorders หรือ NLD) (1996) 28/06/2010
โดยนิยามแล้ว แม้ว่า NLD คือ การบกพร่องที่พบน้อย แต่ยังมีการบ่งชี้ว่า ขณะที่การประเมินของโรงเรียนและกระบวนการช่วยเหลือไดัรับการพัฒนาดีขึ้น สัดส่วนของเด็กๆ ที่มีอาการ NLD จะถูกพบว่ามีสูงขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อัตราการพบที่ต่ำ ( 1 ใน 1000) เนื่องจากเป็นการขาดการค้นพบ และกลายเป็นเหยื่อของการบกพร่องที่กำลังบ่อนทำลายที่ได้รับในปัจจุบัน อาการของโรคจะแจ่มชัดและแสดงตัวในช่วงต้นของการพัฒนาในวัยเด็ก
การค้นพบกลุ่มอาการของ NLD เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ด้วยงานวิจัยที่เกี่ยวกับกลุ่มของเด็กๆ ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่ถูกระบุโดยความแตกต่างกันระหว่าง IQ ทางภาษาและ IQ ในการแสดงออก โชคร้ายที่ว่า 25 ปีต่อมา แม้แต่มืออาชีพในสาขาการศึกษาก็ไม่ได้รับการแจ้งข่าวสารที่กว้างขวางเกี่ยวกับการบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษาที่ไม่คุ้นเคยนี้ ขณะที่การบกพร่องเหล่านี้สามารถทำลายเด็กคนหนึ่งได้มากกว่าการบกพร่องการเรียนรู้ที่ขึ้นอยู่กับภาษาในระยะยาวมาก
เนื่องจากความสามารถในการทำหน้าที่ของระบบสมองซีกขวาที่บกพร่องและทำงานลดน้อยลง จึงขัดขวางการเรียนรู้ที่ใช้การเข้าใจและความเหมาะสมสอดคล้องทั้งหลาย จึงเป็นเรื่องชัดเจนที่จะพูดว่า (เหมือนที่ เฮลเมอร์ อาร์ มิเคิลบัสท์ทำในปี 1975) การบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ไม่ใช่ภาษา (NLD) เป็นเรื่องอ่อนแอมากกว่าการบกพร่องทางภาษา ความสามารถและความบกพร่องของกระบวนการที่เป็นศูนย์กลางโดยเฉพาะนี้บ่งบอกลักษณะกลุ่มอาการของโรคได้ดีขึ้นในปัจจุบัน แม้กระนั้นก็ตามการบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษายังคงเป็นที่เข้าใจผิดโดยทั่วไปและยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
รูปแบบการสื่อสารในช่วงแรกสุดของเด็กไม่ใช่ภาษาถ้อยคำ ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูมักจะสงสัยว่า บางสิ่งนั้นบกพร่องในช่วงเริ่มต้น แต่พวกเขาไม่สามารถปรับปรุงให้ถูกได้ การทำหน้าที่ที่ผิดพลาดที่ปรากฏมีอยู่ 3 หมวดคือ 1) เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว (ขาดการสัมพันธ์กัน มีปัญหาขาดความสมดุลย์อย่างร้ายแรง และ/หรือ ความยุ่งยากกับทักษะการใช้กล้ามเนื้อเขียนลายมือที่เหมาะสม) 2) การจัดระเบียบที่ว่างกับการมองเห็น (ขาดมโนภาพ มีการจดจำการมองเห็นที่แย่มาก การรับรู้เรื่องที่ว่างอย่างผิดๆ และ/หรือมีความยุ่งยากกับความเกี่ยวพันของที่ว่าง) 3) สังคม (ขาดความสามารถที่จะเข้าใจการสื่อสารที่ไม่ใช่ภาษา ความยุ่งยากในการปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ หรือช่วงเชื่อมต่อ และ/หรือ มีความบกพร่องที่เด่นชัดในเรื่องการตัดสินทางสังคมและปฏิกิริยาทางสังคม)
การปรึกษากับนักจิตวิทยาของโรงเรียนแต่เนิ่นๆ หรือแพทย์ประจำครอบครัวเป็นเพียงแค่ลดความกลุ้มใจของคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับตัวเด็กลง ไม่มากไปกว่านี้ก็คือ คุณพ่อคุณแม่มักถูกทำให้มั่นใจว่า ทุกอย่างปกติดี บางทีลูกของพวกเขา “เป็นนักสมบูรณ์แบบ” หรือ “ยังไม่บรรลุนิติภาวะ” หรือ “รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่กระทำกันโดยปกติ” หรือ “เชื่องช้านิดหน่อย” ความกังวลของคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูแทบจะไม่เป็นที่ถือสาจวบจนกระทั่งเด็กคนนั้นมาถึงจุดหนึ่งในโรงเรียนซึ่งเขาไม่สามารถปฏิบัติตัวได้ภายในขีดจำกัดของความบกพร่องของเขาอีกต่อไปแล้ว และ/หรือ ในบางกรณีเด็กคนนั้นเดือดร้อนจนถึงขั้น “เจ็บป่วยทางจิต” (หรือเลวร้ายกว่า)
เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่ไม่ใช่ภาษาโดยทั่วไปจะดูเงอะงะ และโดยความจริงแล้ว มีการประสานกันที่ไม่เหมาะสมในการใช้ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เธออาจจะมีความยุ่งยากอย่างมหาศาลในการเรียนรู้ขี่จักรยานหรือเตะฟุตบอล ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น การตัดด้วยกรรไกร หรือผูกเชือกรองเท้า ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะเชี่ยวชาญ เธอจะขอผ่านแม้แต่กิจกรรมกล้ามเนื้ออย่างง่ายๆ เป็นไปได้น้อยมากที่เด็ก NLD ที่ยังเยาว์จะสำรวจสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้กล้ามเนื้อ เพราะว่าเธอไม่สามารถจะไว้วางใจกับกระบวนการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการรับรู้เรื่องที่ว่าง เด็กคนนี้จะเรียนรู้เพียงเล็กน้อยจากประสพการณ์หรือการทำซ้ำๆ และไม่สามารถสรุปข้อมูลได้
ในช่วงปีแรกๆ เด็กคนนั้นอาจจะดู “สับสน” เป็นส่วนมาก เขาสับสนทั้งๆ ที่เป็นคนฉลาดมากและทำคะแนนสูงเมื่อมีการวัดการรับรู้และการแสดงออกด้านภาษา การสังเกตที่ใกล้ชิดจะเปิดเผยความไม่เหมาะสมทางสังคมที่เกิดขึ้นโดยการตีความภาษาท่าทางและ/หรือโทนเสียงอย่างผิดๆ เด็กคนนี้ไม่สามารถที่จะ “มองและเรียนรู้” เขาไม่รับรู้สัญญาณเตือนที่ซ่อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น เมื่อบางสิ่งไปไกลเกินแล้ว ความคิดถึง “ที่ว่าง” ส่วนตัว การแสดงทางสีหน้าของคนอื่นๆ หรือเมื่อบุคคลอีกคนหนึ่งกำลังมีความสุข (หรือไม่มีความสุข) ในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษาถ้อยคำ
เหล่านี้เป็น “ทักษะ” ทางสังคมทั้งหมดซึ่งตามปกติแล้ว จับได้โดยสัญชาตญาณผ่านการสังเกต ไม่ใช่การสอนโดยตรง ถ้าเด็กถูกตักเตือนด้วยคำพูดอย่างสม่ำเสมอ “ฉันไม่ควรจำเป็นต้องบอกเธอเรื่องนี้” เรื่องนี้จะเป็นสัญญาณบอกเหตุให้ทุกๆ คนเห็นว่า บางสิ่งผิดพลาดเพราะว่า คุณจำเป็นจริงๆ ต้องบอกพวกเขา (ทุกๆ สิ่ง) การใช้กระบวนการทางภาษาของเด็กอาจจะเชี่ยวชาญ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะรับรู้หรือเข้าใจข่าวสารที่ไม่ใช่ภาษา เด็กลักษณะนี้จะรับมือโดยการไว้วางใจในภาษาในฐานะเป็นแกนสำคัญของการเกี่ยวพันทางสังคม การรวบรวมข่าวสาร และปลดปล่อยความกังวล ด้วยเหตุนี้ เธอมักจะถูกบอกอย่างสม่ำเสมอว่า “เธอพูดมากเกินไป”
เด็กที่เป็น NLD มักจะพัฒนาความจำที่ท่องขึ้นใจเป็นพิเศษ อันเป็นทักษะการรับมือที่เขาจำเป็นต้องคำนึงถึงเพื่อจะเอาตัวรอด เนื่องจากพื้นที่สมองที่เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่ภาษาไม่ได้ให้ผลตอบกลับ (feedback) แบบอัตโนมัติที่ต้องการ เขาเชื่อถือความจำในประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาแต่เพียงอย่างเดียว ความจำแต่ละอย่างที่เขาเรียบเรียงด้วยคำพูด ที่จะชี้ทางเขาต่อสถานการณ์ในอนาคต แน่นอน นี่ย่อมมีประสิทธิภาพน้อยกว่า และยังไว้วางใจได้น้อยกว่าความสามารถที่จะรู้สึกและตีความสัญญาณเตือนทางสังคมของบุคคลอีกคนหนึ่ง (เนื่องจากความแตกต่างที่ลึกล้ำของธรรมชาติมนุษย์)
การพูดคนเดียวในเรื่องลำบากใจเป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งของเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษา บทสนทนาตามปกติ คือ “give and take” ดูจะไม่ใช่ตัวเธอ คุณครูบ่นถึงเด็กซึ่ง “พูดไม่หยุด” และคุณพ่อคุณแม่สรุปว่า “เธอเพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเงียบ” เนื่องมาจากการบกพร่องเรื่องการมองเห็นกับที่ว่าง มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กประเภทนี้ที่จะเปลี่ยนจากกิจกรรมหนึ่งไปยังอีกกิจกรรมหนึ่ง และ/หรือย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เด็กที่เป็น NLD จะใช้สมาธิและความตั้งใจของเธอทั้งหมดที่จะทะลุผ่านที่ว่าง ลองจินตนาการถึงความคับข้องใจที่เกิดขึ้นเมื่อพยายามที่จะปฏิบัติตัวในสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือในสังคมใหม่ๆ เนื่องมาจากความไม่สามารถของเธอที่จะ “จัดการ” กับความต้องการที่ต้องใช้กระบวนการทางข้อมูลอย่างนั้น โดยสัญชาตญาณเธอจึงหลีกเลี่ยงอะไรใหม่ๆ
ความสำคัญของการวินิจฉัยและการให้การช่วยเหลือเด็กๆที่บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษาเป็นเรื่องสาหัสหนักหนา การที่คุณพ่อคุณแม่และคุณครูประเมินความสามารถของเด็กสูงเกินไปและมีความต้องการเกินจริงสามารถทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ต่อเนื่อง การคาดคะเนอาการภายหลังที่ได้รับการสนับสนุนดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยเบื้องต้นและการให้ความช่วยเหลือ เด็กที่เป็น NLD มีแนวโน้มที่จะมีอาการสุขภาพจิตเสื่อมโทรมลง เช่น ความหดหู่ อาการถอยจากสังคม ความกังวล และในบางกรณี ฆ่าตัวตาย
ดร. ไบรอน พี โรร์คแห่งมหาวิทยาลัยวินเซอร์และผู้ร่วมงานของเขาพบว่า การบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษา “มีแนวโน้มที่จะทรมานพวกวัยรุ่นและผู้ใหญ่ให้เกิดความหดหู่และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย” เด็กที่เป็น NLD ถูกลงโทษอยู่เสมอและตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาช่วยตนเองไม่ได้ โดยปราศจากความเข้าใจว่าทำไม บ่อยทีเดียวที่มีผลให้เขาเหลือความหวังเพียงเล็กน้อยว่า สถานการณ์จะดีขึ้นบ้าง หลังจากหลายปีของความยุ่งยากใจที่สั่งสมมาและความผิดพลาดทางสังคมอันมหันต์ที่ไม่ได้ตั้งใจและสำคัญผิดไป มันจึงไม่ยากจนเกินไปที่จะเข้าใจบุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษาว่าสามารถมาถึงข้อสรุปได้อย่างไรว่า สิ่งแวดล้อมไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อชดเชยเขา