“เติมรักให้ครอบครัวของคนพิการ ตอนที่ 1”
ประสบอุบัติเหตุที่จังหวัดแพร่ ไปเล่นดนตรีขากลับประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ อาจารย์เสียชีวิตและเด็กนักเรียนอีก 8 คนบาดเจ็บ ผมกลับรู้สึกว่าพวกที่บาดเจ็บกะโหลกร้าว แตก แขนขาหัก พวกเขาเจ็บหนัก แต่ก็สามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม ผมก็ไม่ได้บาดเจ็บมากกว่าพวกเขา แต่ผมเจอในจุดที่เปราะบาง กระดูกต้นคอหัก ช่วงที่รักษาตัวก็พยายามฟื้นฟูตนเอง มีการทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด ในส่วนของการฟื้นฟูตัวคนพิการต้องแอคทีฟตัวเองขึ้นมา มีการฟื้นตัวในกิจวัตรประจำวันของสภาพร่างกายของตนเอง
แรงผลักดันที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว อันดับแรกความไม่พร้อมของครอบครัว พ่อทำงานที่เรือนจำ ผู้คุมเรือนจำต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าไปทำงานกลับถึงบ้านหกโมงเย็น แม่ก็เป็นแม่ค้าต้องขายของซึ่งก็ไม่ได้มีเวลา พี่ชายพี่สาวก็ต้องไปเรียนหนังสือ ครอบครัวไม่ได้มีเวลา ไม่ได้สมบูรณ์แบบไม่ได้มีเงินจ้างคนมาดูแล ผมต้องฝึกฝนหาวิธีที่สามารถลุกขึ้นมานั่งให้ได้ด้วยตัวเราเอง จะทำอย่างไรที่จะขยับตัวเองไปอีกที่เพื่อจะขึ้นรถเข็นแล้วไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรส่วนตัวให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร โดยกิจวัตรประจำวันพื้นฐานจะต้องทำด้วยตัวเองให้ได้ ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง รู้แต่ว่าถ้าทำเราก็จะแข็งแรงขึ้น ต้องรู้จัก (Recovery) คือการฟื้นตัวของภาวะของร่างกายที่เกิดข้อจำกัดขึ้น ความบอบช้ำที่เกิดขึ้นกับกระดูกสันหลัง ผมขอขอบคุณพ่อและแม่ที่ให้โอกาสให้ผมได้ทำอะไรด้วยตนเอง ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่นคงป้อนข้าวป้อนน้ำเช็ดปัสสาวะอุจจาระเป็นหลาย ๆ ปี ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ไม่มีเวลาก็จะต้องโยนคำหนึ่งให้ว่า “ก็ลองทำดู”
ถ้าจะเริ่มต้นการมีครอบครัวใหม่ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นไม่มีกำแพงกั้น มันอยู่ที่ทัศนคติของคนพิการ สร้างกลไกในการป้องกันตัวเองไว้ จะต้องมีการเอาใจหรือตามใจ อีกมุมหนึ่งอยากให้คนพิการสร้างมุมมองขึ้นมาก่อนที่จะมีครอบครัว สร้างความมั่นใจ สร้างการมีคุณค่าของตัวเอง ไม่ใช่ความรักที่เกิดจากความสงสารแต่เขายอมรับตัวคุณที่เป็นคุณ ที่คุณสามารถเป็นผู้นำในครอบครัวได้ ปัจจัยอื่น ๆ เรื่องของความพิการก็เป็นปัจจัย แต่ถ้าคุณสร้างความมั่นใจให้กับครอบครัวอีกฝ่ายได้ มันก็ผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง ต้องทำให้เห็นจริง ๆ ว่าคุณแน่พอที่จะมีครอบครัว