ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

อะไรคือ RTI (Responsiveness to Intervention) หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ

โดยศูนย์วิจัยเรื่องการบกพร่องทางการเรียนรู้แห่งชาติ (2007)

ในหลายโรงเรียนปัจจุบันนี้  เมื่อนักเรียนเรียนตามไม่ทันเพื่อน  ทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะขอความช่วยเหลือคือ  ทำให้การบริการการศึกษาพิเศษมีคุณภาพ  อย่างไรก็ตาม ถ้านักเรียนที่โรงเรียนซึ่งใช้รูปแบบ RTI อยู่แล้วต้องดิ้นรน  ความคิดแรกของทีมงานที่โรงเรียนคือ  บางทีเด็กคนนี้ไม่เข้าใจการสอนซึ่งเขาหรือเธอจำเป็นต้องได้รับการสอนเพื่อ ความสำเร็จ  พูดได้อีกอย่างว่า นักเรียนคนนั้นไม่ “ตอบสนอง” ต่อการสอน  ซึ่งไม่ได้หมายความว่า  นักเรียนคนนั้นไม่ได้ใช้ความพยายาม  แต่ส่วนมากแล้วเป็นเพราะว่าเขาหรือเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอน

โรงเรียนเหล่านี้จะไม่ค่อยยอมให้นักเรียนล้มเหลวในช่วงเวลาเรียนที่ขยาย ให้อีกแล้ว  พวกเขาต้องการช่วยเหลือนักเรียนอย่างทันทีทันใดที่นักเรียนต้องการ  ทางโรงเรียนจะตรวจกรองนักเรียนอย่างสม่ำเสมอให้แน่ใจว่าการสอนนักเรียนนั้น ตรงเป้าหมาย   เด็กแต่ละคนจะถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ในระดับชั้นเรียนเดียวกัน และในห้องเรียนเดียวกัน

การกรองนักเรียนที่ทำอย่างกว้างขวางหลายๆครั้งในโรงเรียนและการตรวจสอบ ความก้าวหน้ามุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จของนักเรียนทั้งหมดในชั้นเรียน  สำหรับเหล่านักเรียนซึ่งทำคะแนนวิชาเรียนได้ต่ำที่สุดในชั้นเรียนและดู เหมือนว่าจะไม่แตกฉานในบทเรียน  โรงเรียนจะใช้กระบวนการสอนทีละขั้นตอนโดยใช้เทคนิคการสอนที่พิสูจน์แล้วใน ทางวิทยาศาสตร์และการประเมินระยะสั้นๆบ่อยๆเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า  ทั้งนี้เพื่อจะตัดสินใจว่าเทคนิคการสอนนั้นๆได้ช่วยเหลือหรือไม่  ผลจากการตรวจสอบความก้าวหน้า  โดยปกติแล้วจะวัดผลอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงการวางแผนและวิธีการที่จะใช้วัดเพื่อความสำเร็จทางวิชาการ  กระบวนการสอนที่กระทำไปอย่างมีประสิทธิภาพนี้จะช่วยตัดสินใจว่า นักเรียนที่บรรลุผลสำเร็จต่ำเป็นผลเนื่องมาจากองค์ประกอบทางความประพฤติหรือ จากการสอน  หรือเด็กคนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะบกพร่องทางการเรียนรู้หรือไม่

เมื่อคิดถึง RTI หรือการตอบสนองต่อการการให้ความช่วยเหลือ เป็นลำดับขั้นตอนจะเป็นดังนี้

  1. การสอนในชั้นเรียนทั่วไป  ทำการทดสอบคัดกรองเพื่อดูว่านักเรียนคนไหนอยู่ในภาวะเสี่ยง
  2. ครูประจำชั้นเรียนเตรียมการสอนให้หรือผู้เชี่ยวชาญสอนนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย
  3. การทำการสอนในช่วงเวลาที่บ่อยขึ้น ถ้าความยุ่งยากยังคงอยู่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอาจ ถูกนำเข้ามาสอนเพื่อประเมินความเข้าใจในภาพรวม

ขั้นตอนแรกคือ การสอนในชั้นเรียนทั่วไป  การทดสอบคัดกรองที่ทำในชั้นเรียนจะทำให้พบว่า นักเรียนคนใดเสี่ยงต่อความบกพร่องทางการอ่านหรือทางการเรียนรู้ด้านอื่นๆ  ตัวอย่างเช่น  การทดสอบอาจจะแสดงว่า นักเรียนซึ่งมีความยุ่งยากด้านการอ่านต้องการการสอนเพิ่มเติมในด้านการออก เสียง  ในขั้นตอนที่สอง  ครูประจำชั้นเรียนอาจจะเป็นผู้ควบคุมการสอน  ในกรณีอื่นๆนั้นเช่น คนที่มีความเชี่ยวชาญในการอ่านและการออกเสียงอาจจะสอนนักเรียนซึ่งมีความ ยุ่งยากในแบบเดียวกัน

นักเรียนซึ่งไม่ตอบสนองต่อการสอนอาจจะถูกพิจารณาว่าต้องการการสอนเป็น พิเศษในขั้นตอนที่สาม  ซึ่งการสอนอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาความถี่ที่บ่อยขึ้น  ถ้าการประสบผลสำเร็จยังพบความยุ่งยากอยู่  ทีมของนักการศึกษาจากต่างๆสาขา  ตัวอย่างเช่นในเรื่องการอ่านหรือ เรื่องการให้คำแนะนำปรึกษา จะช่วยทำให้การประเมินความเข้าใจในภาพรวมสมบูรณ์ขึ้น  ทั้งนี้เพื่อจะต้องตัดสินใจเลือกเรียนการศึกษาพิเศษหรือรับบริการที่เกี่ยว ข้อง นั่นเป็นเพราะว่า การตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือแต่เพียงลำพังไม่เพียงพอที่จะระบุว่าเป็น การบกพร่องทางการเรียนรู้  เหนืออื่นใด เป้าหมายคือ การให้การช่วยเหลือและการสอนชนิดที่นักเรียนต้องการเพื่อจะประสบผลสำเร็จใน ชั้นเรียนของการศึกษาทั่วไป

ในรูปแบบของ RTI  หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ  สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่คือ พวกเขาจะได้เห็นว่าลูกของตนกำลังทำอะไร  เปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน  และวิธีการวัดผลในชั้นเรียนของเด็กกับห้องเรียนอื่นๆในระดับชั้นเดียวกัน  พวกเขาสามารถฟังผลเหล่านี้ได้ตามปกติจากโรงเรียน  ถ้าคะแนนในชั้นเรียนต่ำลง ตัวอย่างเช่น คำถามต่างๆจะถูกหยิบยกขึ้นมาเกี่ยวกับคุณภาพของการสอนในชั้นเรียน  ดังนั้นครูประจำชั้นเรียนต้องรับผิดชอบมากขึ้นสำหรับการสอนของเขา

การตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ ด้วยความกระชับในการสอนที่เพิ่มขึ้น  ในปัจจุบันถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันความล้มเหลวทางวิชาการมากกว่าที่จะตัดสิน ใจอย่างเฉพาะเจาะจงลงไปว่านักเรียนคนไหนมีความบกพร่องทางการเรียนรู้  โดยมากแล้วมันยังถูกนำมาใช้สำหรับการอ่านของโรงเรียนระดับประถมศึกษาอีก ด้วย  อย่างไรก็ดี แทบจะไม่มีผลของงานวิจัยปรากฏ ว่ามันประสบผลอย่างไรในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและโรงเรียนระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย การนำมาใช้ในทางปฏิบัติในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ยังจำเป็นต้องทำการศึกษา ต่อไป

แม้ว่าคำถามที่ยังไม่มีคำตอบยังต้องการการวิจัยเพิ่มขึ้น  RTI หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือก็ยังมีประโยชน์หลายอย่าง  เมื่อ RTI ได้รับการสนับสนุนร่วมกับความกวดขันและความชัดเจน  นักเรียนทุกคนได้รับการสอนที่มีคุณภาพสูงในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาโดยทั่ว ไป  นักเรียนทุกคนถูกกรองทั้งด้านวิชาการและความประพฤติและยังมีผลความก้าว หน้าที่ถูกตรวจสอบเพื่อชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องโดยเฉพาะของเด็ก

ข้อได้เปรียบที่มีอยู่สำหรับนักเรียนทุกคนคือ โอกาสที่จะระบุว่า “ใครเสี่ยง” ต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้แต่แรกเริ่มในการศึกษาแทนที่การต้องล้มเหลว – บางครั้งเป็นปีปี-ก่อนที่จะได้รับบริการช่วยเหลือเพิ่มเติม  และนักเรียนทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือในระดับที่ต้องการ เป็นการลดจำนวนนักเรียนที่กล่าวถึงว่าจะต้องการการบริการการศึกษาพิเศษ

เป็นเวลานานทีเดียวที่การศึกษาพิเศษเป็นทางแก้ไขปัญหาในการเรียนการสอน สำหรับผู้เรียนที่ต้องดิ้นรนแม้แต่ว่าเขาไม่ได้มีอาการบกพร่องทางการเรียน รู้  เพราะว่างานวิจัยจำนวนล้นเหลือได้แสดงว่า  โปรแกรมการเรียนการสอนที่ออกแบบได้ดีและการใช้กลยุทธ์จะทำให้การเรียนดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีการตรวจสอบอย่างระมัดระวังเสมอ  การใช้วิธี RTI หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลืออาจเป็นวิธีการที่จะทำให้การเรียนแบบ การศึกษาทั่วไปดีขึ้นและช่วยลดการผูกโยงกับการศึกษาพิเศษ

แปลและเรียบเรียงจาก What is Responsiveness to Intervention By National Research Center for Learning Disabilities (2007)
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา

ภาพประกอบบทความหน้าต่าง LD

แบบประเมินคุณภาพสื่อ สสพ.

คุณพอใจกับคุณภาพสื่อข้างต้นมากน้อยเพียงใด
  • พอใจมาก0
  • พอใจ0
  • ปานกลาง0
  • ไม่พอใจ0
  • ไม่พอใจมาก0
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก

Fatal error: Call to undefined function drupal_get_path() in /usr/local/www/apache22/data/Braille-new/sites/all/modules/better_statistics/better_statistics.module on line 181