อะไรคือ RTI (Responsiveness to Intervention) หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ
ในหลายโรงเรียนปัจจุบันนี้ เมื่อนักเรียนเรียนตามไม่ทันเพื่อน ทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะขอความช่วยเหลือคือ ทำให้การบริการการศึกษาพิเศษมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ถ้านักเรียนที่โรงเรียนซึ่งใช้รูปแบบ RTI อยู่แล้วต้องดิ้นรน ความคิดแรกของทีมงานที่โรงเรียนคือ บางทีเด็กคนนี้ไม่เข้าใจการสอนซึ่งเขาหรือเธอจำเป็นต้องได้รับการสอนเพื่อ ความสำเร็จ พูดได้อีกอย่างว่า นักเรียนคนนั้นไม่ “ตอบสนอง” ต่อการสอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า นักเรียนคนนั้นไม่ได้ใช้ความพยายาม แต่ส่วนมากแล้วเป็นเพราะว่าเขาหรือเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอน
โรงเรียนเหล่านี้จะไม่ค่อยยอมให้นักเรียนล้มเหลวในช่วงเวลาเรียนที่ขยาย ให้อีกแล้ว พวกเขาต้องการช่วยเหลือนักเรียนอย่างทันทีทันใดที่นักเรียนต้องการ ทางโรงเรียนจะตรวจกรองนักเรียนอย่างสม่ำเสมอให้แน่ใจว่าการสอนนักเรียนนั้น ตรงเป้าหมาย เด็กแต่ละคนจะถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ในระดับชั้นเรียนเดียวกัน และในห้องเรียนเดียวกัน
การกรองนักเรียนที่ทำอย่างกว้างขวางหลายๆครั้งในโรงเรียนและการตรวจสอบ ความก้าวหน้ามุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จของนักเรียนทั้งหมดในชั้นเรียน สำหรับเหล่านักเรียนซึ่งทำคะแนนวิชาเรียนได้ต่ำที่สุดในชั้นเรียนและดู เหมือนว่าจะไม่แตกฉานในบทเรียน โรงเรียนจะใช้กระบวนการสอนทีละขั้นตอนโดยใช้เทคนิคการสอนที่พิสูจน์แล้วใน ทางวิทยาศาสตร์และการประเมินระยะสั้นๆบ่อยๆเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า ทั้งนี้เพื่อจะตัดสินใจว่าเทคนิคการสอนนั้นๆได้ช่วยเหลือหรือไม่ ผลจากการตรวจสอบความก้าวหน้า โดยปกติแล้วจะวัดผลอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงการวางแผนและวิธีการที่จะใช้วัดเพื่อความสำเร็จทางวิชาการ กระบวนการสอนที่กระทำไปอย่างมีประสิทธิภาพนี้จะช่วยตัดสินใจว่า นักเรียนที่บรรลุผลสำเร็จต่ำเป็นผลเนื่องมาจากองค์ประกอบทางความประพฤติหรือ จากการสอน หรือเด็กคนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะบกพร่องทางการเรียนรู้หรือไม่
เมื่อคิดถึง RTI หรือการตอบสนองต่อการการให้ความช่วยเหลือ เป็นลำดับขั้นตอนจะเป็นดังนี้
- การสอนในชั้นเรียนทั่วไป ทำการทดสอบคัดกรองเพื่อดูว่านักเรียนคนไหนอยู่ในภาวะเสี่ยง
- ครูประจำชั้นเรียนเตรียมการสอนให้หรือผู้เชี่ยวชาญสอนนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย
- การทำการสอนในช่วงเวลาที่บ่อยขึ้น ถ้าความยุ่งยากยังคงอยู่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอาจ ถูกนำเข้ามาสอนเพื่อประเมินความเข้าใจในภาพรวม
ขั้นตอนแรกคือ การสอนในชั้นเรียนทั่วไป การทดสอบคัดกรองที่ทำในชั้นเรียนจะทำให้พบว่า นักเรียนคนใดเสี่ยงต่อความบกพร่องทางการอ่านหรือทางการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การทดสอบอาจจะแสดงว่า นักเรียนซึ่งมีความยุ่งยากด้านการอ่านต้องการการสอนเพิ่มเติมในด้านการออก เสียง ในขั้นตอนที่สอง ครูประจำชั้นเรียนอาจจะเป็นผู้ควบคุมการสอน ในกรณีอื่นๆนั้นเช่น คนที่มีความเชี่ยวชาญในการอ่านและการออกเสียงอาจจะสอนนักเรียนซึ่งมีความ ยุ่งยากในแบบเดียวกัน
นักเรียนซึ่งไม่ตอบสนองต่อการสอนอาจจะถูกพิจารณาว่าต้องการการสอนเป็น พิเศษในขั้นตอนที่สาม ซึ่งการสอนอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาความถี่ที่บ่อยขึ้น ถ้าการประสบผลสำเร็จยังพบความยุ่งยากอยู่ ทีมของนักการศึกษาจากต่างๆสาขา ตัวอย่างเช่นในเรื่องการอ่านหรือ เรื่องการให้คำแนะนำปรึกษา จะช่วยทำให้การประเมินความเข้าใจในภาพรวมสมบูรณ์ขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะต้องตัดสินใจเลือกเรียนการศึกษาพิเศษหรือรับบริการที่เกี่ยว ข้อง นั่นเป็นเพราะว่า การตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือแต่เพียงลำพังไม่เพียงพอที่จะระบุว่าเป็น การบกพร่องทางการเรียนรู้ เหนืออื่นใด เป้าหมายคือ การให้การช่วยเหลือและการสอนชนิดที่นักเรียนต้องการเพื่อจะประสบผลสำเร็จใน ชั้นเรียนของการศึกษาทั่วไป
ในรูปแบบของ RTI หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่คือ พวกเขาจะได้เห็นว่าลูกของตนกำลังทำอะไร เปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และวิธีการวัดผลในชั้นเรียนของเด็กกับห้องเรียนอื่นๆในระดับชั้นเดียวกัน พวกเขาสามารถฟังผลเหล่านี้ได้ตามปกติจากโรงเรียน ถ้าคะแนนในชั้นเรียนต่ำลง ตัวอย่างเช่น คำถามต่างๆจะถูกหยิบยกขึ้นมาเกี่ยวกับคุณภาพของการสอนในชั้นเรียน ดังนั้นครูประจำชั้นเรียนต้องรับผิดชอบมากขึ้นสำหรับการสอนของเขา
การตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือ ด้วยความกระชับในการสอนที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบันถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันความล้มเหลวทางวิชาการมากกว่าที่จะตัดสิน ใจอย่างเฉพาะเจาะจงลงไปว่านักเรียนคนไหนมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยมากแล้วมันยังถูกนำมาใช้สำหรับการอ่านของโรงเรียนระดับประถมศึกษาอีก ด้วย อย่างไรก็ดี แทบจะไม่มีผลของงานวิจัยปรากฏ ว่ามันประสบผลอย่างไรในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและโรงเรียนระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย การนำมาใช้ในทางปฏิบัติในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ยังจำเป็นต้องทำการศึกษา ต่อไป
แม้ว่าคำถามที่ยังไม่มีคำตอบยังต้องการการวิจัยเพิ่มขึ้น RTI หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลือก็ยังมีประโยชน์หลายอย่าง เมื่อ RTI ได้รับการสนับสนุนร่วมกับความกวดขันและความชัดเจน นักเรียนทุกคนได้รับการสอนที่มีคุณภาพสูงในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาโดยทั่ว ไป นักเรียนทุกคนถูกกรองทั้งด้านวิชาการและความประพฤติและยังมีผลความก้าว หน้าที่ถูกตรวจสอบเพื่อชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องโดยเฉพาะของเด็ก
ข้อได้เปรียบที่มีอยู่สำหรับนักเรียนทุกคนคือ โอกาสที่จะระบุว่า “ใครเสี่ยง” ต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้แต่แรกเริ่มในการศึกษาแทนที่การต้องล้มเหลว – บางครั้งเป็นปีปี-ก่อนที่จะได้รับบริการช่วยเหลือเพิ่มเติม และนักเรียนทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือในระดับที่ต้องการ เป็นการลดจำนวนนักเรียนที่กล่าวถึงว่าจะต้องการการบริการการศึกษาพิเศษ
เป็นเวลานานทีเดียวที่การศึกษาพิเศษเป็นทางแก้ไขปัญหาในการเรียนการสอน สำหรับผู้เรียนที่ต้องดิ้นรนแม้แต่ว่าเขาไม่ได้มีอาการบกพร่องทางการเรียน รู้ เพราะว่างานวิจัยจำนวนล้นเหลือได้แสดงว่า โปรแกรมการเรียนการสอนที่ออกแบบได้ดีและการใช้กลยุทธ์จะทำให้การเรียนดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีการตรวจสอบอย่างระมัดระวังเสมอ การใช้วิธี RTI หรือการตอบสนองต่อการให้ความช่วยเหลืออาจเป็นวิธีการที่จะทำให้การเรียนแบบ การศึกษาทั่วไปดีขึ้นและช่วยลดการผูกโยงกับการศึกษาพิเศษ
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา