ลักษณะชั้นเรียนของนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ควรเป็นอย่างไร ตอนที่ 2
การวินิจฉัยความแตกต่างและหลักการว่าด้วยความยุติธรรม
อุปสรรค อีกประการหนึ่งคือความเชื่อโดยทั่วไปว่า นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เรียนรวมอยู่ด้วยนี้ โดยพื้นฐานแล้วมีหลักประกันว่า เป็นนักเรียนที่เข้ากันได้ดีกับชั้นเรียนแล้ว ส่วนใหญ่บรรดาครูในชั้นเรียนการศึกษาทั่วไปมีเป้าหมายว่า นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้จะได้รับการยอมรับอย่างดีทีเดียวจากเพื่อน ร่วมชั้นเรียน จนพวกเขารู้สึกอบอุ่นไม่ใช่แปลกแยกออกมา อาจพูดได้ว่า นี่หมายความว่าไม่ต้องการปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างไปแม้สภาพอันลำบากที่เป็น ปัญหาของนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งยังต้องสืบเสาะหาความต้องการเรียนรู้ของนักเรียนเหล่านี้ว่า ต้องการให้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างใคร่ครวญและแตกต่าง ตัวอย่างเช่น มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ :
- ควรทำให้มั่นใจว่า คีชาและแดนมีส่วนร่วมในการอภิปรายและถามคำถาม ซึ่งเรื่องนี้ต้องการการสอนเขาให้ถามคำถามพร้อมกับเปลี่ยนความเชื่อของเขา เกี่ยวกับการถามคำถามในโรงเรียน เช่นว่า การถามคำถามถือเป็นการพิสูจน์ความโง่มากที่สุดหรือเป็นการแสดงการท้าทายที่ ไม่สุภาพต่อครู
- ควรช่วยให้นิโคลัสทันเวลาด้วยเครื่องจับเวลาส่วนตัวหรือตารางเวลา ปรับปรุงวิธีการเข้าหาเขา (บางทีอาจพูดว่า “นิค เราจะเรียนศิลปะกันในอีก 5 นาที เธอตั้งเวลานาฬิกาเริ่มต้นได้เลย”) เขาแตกต่างจากคนอื่นๆอีกเหมือนกันในเรื่องเขาต้องการเพื่อนให้พาไปยังห้อง ต่างๆ เพราะว่าเขาหลงทางได้ง่ายๆ ยิ่งกว่านั้น ความลำบากยิ่งในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเขาทำให้เขาต้องเรียนในระดับพื้น ฐานพร้อมด้วยอุปกรณ์และกระบวนการที่นักเรียนคนอื่นไม่ใช้
- ควรดูแลโจซี่ด้วยความใส่ใจอย่างมากเพื่อไม่ให้เขากลายเป็นแค่กระดาษติด ฝาผนังที่ติดโชว์อยู่เฉยๆในช่วงตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงเรียน เขาอาจจะต้องการให้คุณปฏิบัติต่อเขาอย่างแตกต่างมากๆ มีการปรับการบ้านให้แตกต่างออกไป ใช้สัญญาณมือส่วนตัวให้เขาเห็นด้วยก่อนที่จะเรียกเขา จัดช่วงเวลาหนึ่งในระหว่างวันให้งานที่ไม่กดดันให้เขาเลือก มีการพบปะเป็นการส่วนตัวกับเขาทุกวัน
- ควรให้ทั้งแดนและโจซี่ฝึกทักษะการอ่านอย่างเข้มข้นในขณะที่นักเรียนคน อื่นๆทำได้อย่างง่ายดายเมื่อสามปีล่วงมาแล้ว พร้อมกับให้ใช้กลวิธีที่ถูกต้องสำหรับบันทึกเทปเรียงความของตนเอง และยังให้ใช้หนังสือเสียง (หนังสือที่นำมาอ่านใส่เทป) เพื่อให้เรียนทันวิชาทางสังคมอีกด้วย
เหล่านี้เป็นกลยุทธ์การเรียนการสอนมากมายหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความ บกพร่องทางการเรียนรู้ กลยุทธ์ที่ต้องทำให้เหมาะสมกับเด็กๆแต่ละคน และมันดูเหมือนเป็นการกระทำที่ไม่มีความยุติธรรม ถ้าเป้าหมายสำหรับเยาวชนเหล่านี้เพื่อที่จะ”เข้ากันได้” การปรับปรุงและการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนในชั้นเรียนก็เป็นเรื่องไม่จำ เป็น ความจริงแล้ว การให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ทำให้โจซี่และเพื่อนๆเปิดเผยความบกพร่องและความ ยุ่งยากใจติดตามมาให้สาธารณชนเห็นเพิ่มขึ้น
แต่ทว่า จะเป็นไรล่ะ ถ้าการเรียนรู้ของพวกเขาต้องการความช่วยเหลือเหล่านี้ การเข้ากันได้อาจกลายเป็นเรื่องขัดแย้งกัน ไม่ใช่เป็นสถานการณ์ที่ง่ายดายอะไร ความต้องการเรียนรู้ของนักเรียนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าความเป็นไป ได้สำหรับครูคนหนึ่งที่จะวิ่งวุ่นและพบปะพูดคุย ซึ่งคุณครูต้องให้เวลากับนักเรียนคนอื่นๆและนักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนการ ศึกษาทั่วไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ว่า คุณครูไม่ได้เพิ่มเติมและปรับปรุงวิธีการเรียนอะไรมากนักให้กับนักเรียน เหล่านี้
ความจริงแล้ว แม้ว่าพวกนั้นจะถูกมองว่าเป็น “หัวกะทิ” คุณครูในชั้นเรียนการศึกษาทั่วไปก็ให้การช่วยเหลือน้อยมากแก่นักเรียนที่ บกพร่องทางการเรียนรู้และมีแนวโน้มจะยังคงใช้วิธีการสอนซึ่งเขารู้สึกว่า เป็นประโยชน์ต่อชั้นเรียนทั้งชั้น (ตัวอย่างเช่น ภาพกราฟิคทำให้ทั้งชั้นเห็นภาพหัวข้อชัดเจนขึ้น รวมทั้งการฝึกฝนพิเศษจะช่วยเหลือทุกๆคน) มีความเชื่อที่สำคัญอย่างหนึ่งว่า อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติต่อเด็กอย่างแตกต่างถือเป็นเรื่องไม่เป็นผลดี อาจทั้งเลวร้ายต่อแต่ละบุคคลและไม่เป็นผลดีต่อกลุ่ม ซึ่งทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับความยุติธรรม หลักการว่าด้วยเรื่องความยุติธรรมมีความเกี่ยวพันกับเรื่องแต่ละพื้นฐานทาง วัฒนธรรม การมีคุณค่าของการสอบที่ชัดเจนขึ้น และเป็นการให้ข้อเท็จจริงที่ไม่ยุติธรรมต่อชีวิตในชั้นเรียนด้วยเช่นกัน
ตาม ความเป็นจริงแล้ว ในการปฏิบัติฝึกฝนทั้งเรื่องวินัยและการเรียนการสอนเป็นเรื่องที่ไม่มีความ ยุติธรรมในชั้นเรียน แตกต่างกันไปตามเรื่องเพศ เชื้อชาติ ชั้นเรียนและอื่นๆ ความจริงแล้วนักเรียนที่แตกต่างกันในชั้นเรียนต่างๆล้วนถูกปฏิบัติอย่างแตก ต่างกันทั้งนั้น บางคนก็เป็นเรื่องตั้งใจ อย่างเช่นนักเรียนคนหนึ่งใช้เวลามากรีรออยู่นอกห้องทำงานของครูใหญ่ ขณะที่อีกคนหนึ่งได้ไปที่นั่นเพียงเพราะมีภารกิจที่สำคัญกว่า แต่ก็มีอีกมากที่ไม่ได้ตั้งใจแม้กระทั่งไม่ได้รับการสังเกตเลย แต่ตัวอย่างหนึ่งของการถูกปฏิบัติอย่างแตกต่างและไม่ได้รับการยอมรับเช่น นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ได้รับงานวิชาการที่ท้าทายน้อยลงตลอดเวลา ที่อยู่ในชั้นเรียนการศึกษาทั่วไป ในที่สุดคุณครูส่วนใหญ่มักตกลงใจโดยที่ไม่ได้พูดออกมาว่า “ฉันจะไม่สอบถามเธอ ถ้าเธอไม่กวนฉัน” ดังนั้น เด็กๆที่ “เรียนอย่างประสบผลสำเร็จได้” จะได้รับการท้าทายทางการรับรู้ที่ต่อเนื่อง ขณะที่เพื่อนในชั้นเรียนส่วนใหญ่ที่บกพร่องทางการเรียนรู้จะถูกใส่ใจน้อยลง และน้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักเรียนที่ถูกละทิ้งก็เหมือนกับพวกที่อยู่ในเงามืด จะหลบเข้าหลบออกจากชั้นเรียนก็แทบไม่มีผลกระทบกับชั้นเรียน และทั้งครูและนักเรียนเองมักต่างก็ไม่ได้ต้องการจะมีความสัมพันธ์ที่ร่วมกัน กระทำผิดเช่นนี้แต่กระทำโดยไม่ได้รู้สึกตัว
ดังนั้น ตามความจริงแล้ว ความยุติธรรมในความหมายของความเหมือนกันในการเรียนการสอน หรือความเที่ยงธรรมในการเรียนการสอน หรือแม้แต่ในความหมายของ “แต่ละคนถูกท้าทายให้ได้แสดงความสามารถเท่าที่ทำได้” ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิบัติไม่ได้มากในชั้นเรียน แน่นอนไม่มากเท่าที่เราอาจจะชอบคิดให้ปฏิบัติ
ดังนั้น ทำไมยังมีแรงต่อต้านที่ชัดเจนในการปฏิบัติอย่างแตกต่างต่อกรณีของแดน กรณีของโจซี่และคนอื่นๆ เป็นแรงต่อต้านที่อ้างเรื่องความยุติธรรม ฉันกล้าพอจะบอกว่า ความกังวลนี้มาจากคุณครูโดยส่วนใหญ่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องจัดการกับ ”กฏเกณฑ์ของเกมในชั้นเรียน” ที่คลุมเครือบางอย่าง ซึ่งถูกปฏิบัติกันมาผ่านวัฒนธรรมของโรงเรียนและบางทีรวมถึงวัฒนธรรมโดยทั่ว ไปด้วยเหมือนกัน สมาชิกของโรงเรียนที่ปรับตัวเข้ากับรูปแบบวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ในสังคม โรงเรียน “รู้สึก” ได้เมื่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ถูกละเมิด และปกติพร้อมจะสนับสนุนกฏเกณฑ์เหล่านั้น แม้แต่กระทั่งกฎเกณฑ์นั้นจะไม่เป็นจุดที่น่าสนใจทั้งของผู้เรียนแต่ละคนหรือ ของ “พวกที่เหลือในชั้นเรียน” พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า สำหรับชั้นเรียนที่ให้การช่วยเหลือนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้อย่าง เต็มที่แล้ว อาจจะต้องใช้เรื่องการปรับวัฒนธรรมในกระแสปัจจุบันของการจัดการเรียนใน โรงเรียน ใช้การปรับพื้นฐานมากขึ้นในการจัดการโดยทั่วไป ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับบุคคลสองสามคนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและคนเราต้องการวิธีการเข้าหาจากหลากหลาย วิธีการ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา