ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ปัญหาบกพร่องทางการอ่านกับการสะกดคำ ตอนที่ 1

โดย สมาคมการบกพร่องทางการอ่านนานาชาติ (2008)

โดยทั่วไปการสะกดคำมีความยุ่งยากอย่างไร

การสะกดคำเป็น เรื่องยากสำหรับหลายๆคน แต่กลับมีการวิจัยเกี่ยวกับการสะกดคำน้อยกว่าการวิจัยเรื่องการอ่านอย่าง มาก  การวิจัยที่จะบอกว่า มีคนมากมายที่สะกดคำได้แย่มากหรือคิดว่าเขาสะกดคำได้แย่มาก  คนโดยทั่วไปไม่ค่อยทราบเรื่องความสามารถในการสะกดคำเท่ากับความสำเร็จในการ อ่านเพราะว่าไม่มีการทดสอบในระดับชาติในเรื่องการสะกดคำและหลายๆรัฐในสหรัฐ อเมริกาไม่มีการทดสอบทักษะการสะกดคำ
อย่างไรก็ตาม  เกือบจะทุกคนที่มีปัญหาบกพร่องทางการอ่านต้องใช้ความพยายามมากในการสะกดคำ และเผชิญอุปสรรคที่ร้ายแรงในการเรียนรู้เพื่อจัดการกับความบกพร่องในการ เรียนรู้ของเขาในด้านนี้  คำนิยามของการบกพร่องทางการอ่านหมายถึงว่า แต่ละคนที่มีปัญหาบกพร่องทางการอ่านจะมี “ปัญหาที่ชัดเจน” กับการสะกดคำและการเขียน  ทั้งๆที่มีความสามารถทางด้านอื่นๆและมีปริมาณการเรียนในชั้นเรียนเท่านัก เรียนปกติ  คนที่มีปัญหาบกพร่องทางการอ่านแต่ละคนส่วนใหญ่เรียนรู้ที่จะอ่านหนังสือได้ ดี  แต่มีปัญหาในการสะกดคำและการเขียนลายมือ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาโดยตลอดชีวิตของเขา  จึงต้องการคำแนะนำ  การช่วยเหลือ  การปรับการบ้านที่ให้ รวมทั้งความเข้าใจจากผู้สอนพวกเขาแต่ละคนนั้น

อะไรคือสาเหตุปัญหาในการสะกดคำ

มีความเชื่อผิดๆ โดยทั่วไปว่า รากเหง้าของปัญหาการสะกดคำมาจากการมีความจำที่แย่มากจากการมองเห็นตัวอักษร ที่เรียงลำดับเป็นคำ  อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้แสดงว่า ชนิดของความจำจากการมองเห็นมีบทบาทเกี่ยวพันกันน้อยกับการเรียนรู้การสะกด คำ  ปัญหาการสะกดคำนั้นเหมือนปัญหาการอ่านคือ เกิดจากความอ่อนแอในการเรียนรู้ภาษา  ดังนั้น การสะกดคำที่กลับกันที่ทำให้สับสนง่ายๆเช่น b และ d หรือการเรียงลำดับตัวอักษรเช่น wnet  สำหรับคำว่า went  แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในการเรียนรู้ภาษาที่ชัดเจนมากกว่าจะเป็นเรื่อง ปัญหาพื้นฐานในการมองเห็น  เราส่วนใหญ่คงเคยรู้จักบุคคลที่มีความจำในการมองเห็นที่ดีเลิศ  ทั้งภาพ  โครงสร้างสี  องค์ประกอบในการออกแบบ  รูปวาดที่มีองค์ประกอบต่างๆ  แผนที่  รูปภูมิทัศน์ต่างๆ แต่สะกดคำได้แย่มาก  แต่ความจำในการมองเห็นประเภทนี้ก็จำเป็นสำหรับการสะกดคำและ “เชื่อมโยง” อย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายกระบวนการของภาษาในสมอง

ผู้ที่สะกดได้แย่จะ มีความลำบากในการจดจำตัวอักษรในคำต่างๆ เพราะว่า เขามีปัญหาในการสังเกต  ในการจดจำ  และการระลึกถึงถ้อยคำภาษาที่ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นตัวแทน  เป็นเรื่องธรรมดามากที่ผู้ที่สะกดคำได้แย่จะมีจุดอ่อนด้านทักษะภาษาที่เป็น รากฐานรวมทั้งความสามารถที่จะวิเคราะห์และจดจำเสียงแต่ละเสียงในคำต่างๆ เช่นเสียง j  ch หรือ v หรือพยางค์ต่างๆ เช่น  la mem pos  หรือส่วนที่มีความหมายเป็นรูปคำยาวๆ เช่น  sub-  -pect  หรือ –able  จุดอ่อนเหล่านี้สามารถสืบสาวไปถึงการใช้ภาษาในการพูดและการเขียน  ดังนั้น จุดอ่อนเหล่านี้จึงสามารถย้อนให้เห็นเมื่อใครพูดหรือเขียน
เช่นเดียวกับ ด้านอื่นๆ ของปัญหาการบกพร่องทางการอ่านและความสำเร็จในการอ่าน  ความสามารถในการสะกดคำได้รับอิทธิพลมาจากอุปนิสัยที่สืบทอดมา ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ใครบางคนเกิดมาเป็นผู้ที่สะกดคำได้ดีกว่าคนอื่น  แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่สะกดคำได้แย่ สามารถได้รับความช่วยเหลือด้านการเรียนการสอนและการช่วยเหลืออื่น ๆ ได้ด้วย

การวินิจฉัยปัญหาการสะกดคำ

ถ้ามีความสงสัยว่า เป็นผู้ที่มีปัญหาบกพร่องในการอ่าน และยังเป็นนักเรียนในระดับอนุบาลหรือเรียนอยู่เกรด 1 การทดสอบพื้นฐานง่ายๆในเรื่องการรู้จักปัจจัยเสียงและชื่อตัวอักษรควรจะทำ เพื่อช่วยให้สามารถคาดเดาปัญหาการสะกดคำในเวลาต่อมา  ซึ่งเหมือนกับการคาดเดาปัญหาในการอ่านนั่นเอง  ถ้านักเรียนยังมีปัญหาในการจดจำการสะกดคำ  จึงควรจะมีการทดสอบมาตรฐานปัจจุบันของความสำเร็จในการสะกดคำในระดับชาติ เพื่อดูว่าปัญหามีความรุนแรงขนาดไหน  นอกจากนี้ การทดสอบเพื่อวินิจฉัยการสะกดคำควรจะดำเนินการเพื่อให้สามารถระบุได้ถึง เสียงใด  พยางค์รูปแบบใด หรือพยางค์ที่มีความหมายใดที่นักเรียนไม่เข้าใจและไม่สามารถจำได้

การ ทดสอบเพื่อวินิจฉัยการสะกดคำ  เช่น การทดลองพัฒนาการในการสะกดคำ จะช่วยบอกคุณครูได้อย่างแน่นอนว่า การสะกดพยัญชนะ สระ พยางค์หรือคำประเภทใดที่นักเรียนต้องเรียน  ประการที่สาม  ควรจะมีการทดสอบความรู้ของนักเรียนในเรื่องคำในภาษาอังกฤษที่จำเป็นและใช้ บ่อยมากในการเขียน สิ่งเหล่านี้ควรเน้นย้ำในการเรียนการสอน

นักเรียนเรียนรู้ที่จะสะกดคำอย่างไร

เด็กๆ จะค่อยๆพัฒนาความเข้าใจได้ตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล  ระดับอนุบาลและระดับเกรด 1 ว่า ถ้อยคำถูกทดแทนด้วยตัวอักษร กระบวนการนี้จะพัฒนาไปได้รวดเร็วมากขึ้นและประสบความสำเร็จด้วย  ถ้าการเรียนการสอนในเรื่องเสียงและตัวอักษรนั้นเป็นระบบ  ชัดเจนและเห็นองค์ประกอบ

การสะกดคำทั้งคำจะกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่อ เด็กๆเข้าใจว่า คำประกอบด้วยเสียงคำพูดที่แยกออกได้และตัวอักษรทดแทนเสียงเหล่านั้น  เมื่อความรู้ในเรื่องกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้น  เด็กจะสามารถสังเกตรูปแบบที่ใช้ตัวอักษรแทน  และยังสังเกตได้ด้วยถึงการเรียงลำดับของตัวอักษรที่สร้างขึ้นเป็นพยางค์  การจบคำ  รากของคำ  คำนำหน้าและคำต่อท้าย  ความจำในคำทั้งคำที่ถูกเขียนขึ้นจะรวดเร็วมากขึ้นและยังสามารถระลึกคำขึ้นมา ใช้ได้ง่ายขึ้นด้วยเมื่อเด็กๆมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องโครงสร้างทางภาษา และได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ในการเขียนคำต่างๆ

การทดลองพัฒนาการ สะกดคำแบบที่ทดสอบเสียงตามที่ได้ยินในระดับเตรียมอนุบาลและระดับอนุบาล ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อความเข้าใจว่าเราใช้ตัวอักษรสะกดอย่างไร  อย่างไรก็ตาม การทดลองสะกดคำไม่เหมาะกับนักเรียนที่จะเรียนการเขียนตามแบบภาษาอังกฤษที่ เป็นรูปแบบมาตรฐาน  การสนับสนุนนักเรียนที่เรียนเลยระดับเกรด 1 ให้ทดลองสะกดคำตามเสียงโดยละเลยการสะกดที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง

แปลและเรียบเรียงจาก Spelling and Dyslexia by International Dyslexia Association (2008) โดย พรรษชล ศรีอิสราพร ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา

ภาพประกอบบทความหน้าต่าง LD

แบบประเมินคุณภาพสื่อ สสพ.

คุณพอใจกับคุณภาพสื่อข้างต้นมากน้อยเพียงใด
  • พอใจมาก0
  • พอใจ0
  • ปานกลาง0
  • ไม่พอใจ0
  • ไม่พอใจมาก0
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก