ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

3 มีนาคม “วันทารกและเด็กพิการแต่กำเนิด”

วันที่ลงข่าว: 04/03/19

          สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ พบความพิการแต่กำเนิดในทารกที่พบบ่อยที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ โรคหัวใจแต่กำเนิด แขนขาผิดรูป ปากแหว่งเพดานโหว่ และกลุ่มอาการดาวน์ ตามลำดับ โดยความพิการแต่กำเนิดประมาณ 70% สามารถป้องกันหรือ/และแก้ไขได้ 

          นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากการที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ได้ประสาน กรมอนามัย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย) องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย และองค์กรที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนงานป้องกันดูแลและรักษาทารกและเด็กพิการแต่กำเนิดระดับประเทศ โดยผ่านความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการรวบรวมแผนงานในการดูแลรักษาปัญหาเด็กพิการ แต่กำเนิดของไทย เพื่อสร้างเครือข่ายสุขภาพทารกแรกเกิดและฐานข้อมูล ทราบถึงสภาพความเป็นจริงของปัญหาความพิการแต่กำเนิดในไทย สามารถต่อยอดพัฒนาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เด็กที่มีปัญหาภาวะพิการแต่กำเนิดได้รับการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน" วันที่ 3 มี.ค.นี้ ตรงกับวันเด็กพิการโลก โดยความสำคัญของวันดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายได้ตระหนักว่าความพิการแต่กำเนิดเป็นปัญหาที่รุนแรง เพราะอาจทำให้เด็กมีภาวะตั้งแต่พิการและรุนแรงสูงสุดถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น จึงต้องการกระตุ้นให้ประชาชนได้ตระหนักที่จะป้องกันโดยจะเน้นใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ทำให้ประชาชนได้ตระหนักว่าปัญหาเด็กพิการแต่กำเนิดเป็นปัญหาที่รุนแรง 2.สนับสนุนให้มีการสำรวจข้อมูลความพิการในทารกเพื่อให้รู้ถึงปัญหา 3.สนับสนุนให้มีการป้องกัน และ 4.การให้การรักษาร่วมกับการทำวิจัย”

          นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกได้สำรวจความพิการแต่กำเนิดในทารกทั่วโลกพบว่า มีทารกพิการแต่กำเนิด 3-5% หรือปีละประมาณ 8 ล้านคน จากทารกที่คลอดประมาณ 130 ล้านคนต่อปี โดยความพิการแต่กำเนิดแบ่งได้ เป็น 2 ส่วน คือ 1.ความพิการทางด้านโครงสร้างของร่างกาย เช่น คลอดออกมาแล้วเป็นโรคหัวใจ ปากแหว่งเพดานโหว่ แขนขาขาด และ 2.ความพิการของการทำงานในหน้าที่และภาวะร่างกาย เช่น มีภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่องหรือกลุ่มโรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ภาวะพิการแต่กำเนิดถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้อง   ได้รับการแก้ไขและจากการที่ WHO รณรงค์ให้ทั่วโลกทำการเก็บข้อมูลความพิการแต่กำเนิด                           ซึ่งในส่วนของประเทศไทย สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ได้วิเคราะห์ฐานข้อมูลความพิการแต่กำเนิด 20 โรคของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสปสช.ที่เก็บข้อมูลจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข 77 จังหวัด พบว่าในปี 2561 จากเด็กทารกแรกเกิด 640,919 ราย พบภาวะพิการแต่กำเนิดของทารก 2.17 % คิดเป็น 13,877 รายของเด็กเกิดมีชีพ 

         "ความพิการแต่กำเนิดที่พบบ่อยที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ โรคหัวใจแต่กำเนิด แขนขาผิดรูป ปากแหว่งเพดานโหว่ และกลุ่มอาการดาวน์ ตามลำดับ ทั้งนี้ความพิการแต่กำเนิดปัจจุบันส่วนใหญ่ประมาณ 70% สามารถแก้ไขและรักษาได้ รวมถึงฟื้นฟูให้เด็กสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพของมารดา การวางแผนการตั้งครรภ์ ช่วยไม่ได้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ด้วย  การรับประทานโฟเลตตั้งแต่ก่อนเริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งตั้งครรภ์ครบ 3 เดือน การดูแลสุขภาพของมารดารวมถึงดูแลโรคต่างๆในมารดาที่เป็นอยู่ให้คงที่ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่างๆในมารดาและลดภาวะปัจจัยเสี่ยง เช่นงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการใช้สารหรือยาต่างๆที่มีผลต่อเด็กในครรภ์ เป็นต้น" 

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก