ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ประกาศผลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านสิทธิสามารถอุทธรณ์ ภายใน 30 พฤศจิกายน นี้

วันที่ลงข่าว: 19/11/18

          นางปนัดดา ทองศรี คลังจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีการเปิดการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 (การลงทะเบียนเพิ่มเติมฯ) โดยมีทีมไทยนิยม ยั่งยืน ของกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานผู้รับลงทะเบียนในระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2561 โดยกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานกลางในการตรวจสอบคุณสมบัติ พบว่ามีผู้ลงทะเบียนในการลงทะเบียนเพิ่มเติมฯ จำนวน 4.5 ล้านคน โดยมีผู้ผ่านคุณสมบัติและได้รับสิทธิ จำนวน 3.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 68 ของผู้ที่มาลงทะเบียนทั้งหมด ซึ่งผู้ที่ผ่านสิทธิสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ทางเว็บไซต์ www.epayment.go.th, ทาง Call Center 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ทีมไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงมหาดไทย โทร. 02 629 8306-14 ต่อ 503 และ 504, กรมบัญชีกลาง โทร. 02 270 6400 และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3224, 3279, 3244, 3236, 3256 และ 3215 และทางการติดประกาศในพื้นที่ของทีมไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงมหาดไทย สำหรับการอุทธรณ์ผู้ที่ไม่ผ่านสิทธิ สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อขออุทธรณ์ได้ ระหว่างวันที่ 16 – 30 พฤศจิกายน โดยสามารถตรวจสอบเหตุผลที่ไม่ผ่านสิทธิได้จากช่องทางการตรวจสอบข้างต้น และยื่นอุทธรณ์ ได้ที่หน่วยงานที่ไม่ผ่านสิทธิโดยตรง ซึ่งกระทรวงการคลังจะประกาศผลการอุทธรณ์อีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2561

          ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านสิทธิสามารถรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) ได้ช่วงกลางเดือนธันวาคม และเริ่มใช้บัตรฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

สำหรับสวัสดิการในบัตรฯ ประกอบด้วย วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าประชารัฐ 200-300 บาทต่อเดือน/ วงเงินค่าโดยสารรถเมล์หรือรถไฟฟ้า 500 บาทต่อเดือน/ วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อ/ วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน และวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ซึ่งบัตรฯ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ผู้มีรายได้น้อยและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก