ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

“ไม่ใช่แค่พิการ แต่ฉันพิเศษ” สุดยอดแรงบันดาลใจ “ไอดอลไร้ขาระดับโลก”!! [มีคลิป]

วันที่ลงข่าว: 24/09/18
กันยา เซสเซอร์ (Kanya Sesser) นักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก
#NoLegsNoLimits คือแฮชแท็กที่ติดตัวมาพร้อมกับเธอคนนี้ เพราะถึงแม้จะเกิดมาอย่าง “ไร้ขา” ซ้ำยัง “กำพร้า” แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยหยิบเอา “ข้อจำกัด” เหล่านั้น มาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้าง “ขีดจำกัด” ในชีวิตตัวเอง 
 
ด้วยทัศนคติแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้ “กันยา” กลายมาเป็น “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ชื่อดังระดับโลก ผู้พาร่างกายครึ่งท่อนของเธอไต่ไปถึงทุกระดับความฝันได้สำเร็จ ทั้งบทบาท นักกีฬาสเกตบอร์ด, นักกีฬาวีลแชร์มือรางวัล, นักแสดงฮอลลีวูด, นางแบบมืออาชีพ ฯลฯ และอีกหลากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่กำลังจะถูกบอกเล่า ผ่านชีวิตที่แสนน่าทึ่งของเธอคนนี้ ที่แสดงให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์มาแล้วว่า คำว่า “ลิมิต” ในชีวิตมันไม่มีจริง!! 
 
ชีวิตในบ้าน ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง
ใช้ “แขน” ต่างขา ไม่รู้สึกขาด เพราะไม่เปรียบเทียบ!!
คนมักจะเข้ามาถามฉันว่า คุณมีชีวิตอยู่ได้บนก้อนเนื้อขาเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง คุณเดินขึ้นบันไดแบบไหน เวลาพวกเขาเห็นฉันตามท้องถนน โดยใช้สองมือของตัวเองเดินแทนขา ผู้คนก็มักจะหยิบมือถือ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป-ถ่ายคลิปฉัน ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนสงสัย (ยิ้มปลงๆ)
แต่เชื่อไหมสำหรับฉันแล้ว ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ทำไมฉันถึงเกิดมาไม่มีขาเหมือนคนทั่วๆ ไป เพราะฉันไม่ชอบเปรียบเทียบสิ่งที่ตัวเองไม่มีกับใครๆ เวลาฉันมองตัวเอง ฉันมองไม่เห็น “ความพิการ” แต่ฉันมองเห็นชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง ชีวิตที่มี “เอกลักษณ์พิเศษ” ที่เกิดมาพร้อมความแตกต่าง 
 
และฉันก็ไม่เคยบั่นทอนตัวเองเรื่องที่ต้องมีชีวิตไร้ขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถไปควบคุมอะไรได้ และฉันก็ภูมิใจในแบบที่ตัวเองเป็นเสมอ ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง ฉันคิดแค่ว่าสิ่งที่ฉันต้องทำ ก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ฉันเป็น มันเลยทำให้ฉันพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้ทุกอย่างมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ จนกลายมาเป็นฉันอย่างทุกวันนี้”
บินกลับไทย เพื่อมาสร้างแรงบันดาลใจ
 
ถึงแม้ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของ กันยา เซสเซอร์ (Kanya Sesser) จะไม่ได้บอกเล่าด้วยภาษาไทย แต่ผู้สัมภาษณ์กลับสัมผัสได้ถึงความหมายที่ส่งตรงมาจากหัวใจ ผ่านประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “สาวไทย” โดยกำเนิด แต่ได้รับการอุปถัมภ์ให้ไปใช้ชีวิตในประเทศมหาอำนาจตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนวันนี้เธอตั้งใจบินลัดฟ้า กลับมาตอบแทนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง ด้วยการพูดสร้างแรงบันดาลใจในงาน “No Legs No Limits ด้วยมือแห่งรัก” ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
 
“ฉันเคยเป็นเด็กที่พูดน้อยมาก เพราะรู้สึกไม่ค่อยภาคภูมิใจในตัวเองเท่าไหร่ เวลาที่ต้องใช้แขนเดินต่างเท้าแล้วถูกผู้คนจับต้อง มันมักจะทำให้ฉันรู้สึกแปลกแยก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เหมือนเป็นด่านฝึกให้จิตใจของฉันเข้มแข็งขึ้นด้วยเหมือนกัน หลังจากนั้นฉันก็ค้นพบว่า ชีวิตฉันยังสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย แม้จะไร้ขาทั้งสองข้างก็ตาม และมันทำให้ฉันกลับมามั่นใจในตัวเองได้อีกครั้งนึง
 
ฉันต้องบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่ มันก็แค่ความเป็นตัวฉัน และเป็นสิ่งที่ฉันต้องปรับตัวเข้ากับมันให้ได้ ต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ให้ได้ เพราะถ้าฉันไม่ทำเพื่อตัวเอง ใครล่ะจะทำเพื่อฉันได้..จริงไหมคะ?”
 
 
 
ไม่ใช่แค่คำบอกเล่าเพียงลมปากเท่านั้นที่เธอทำให้เชื่อ แต่ยังภาพบนจอโปรเจกเตอร์อีกที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็น ถึงการใช้ชีวิตของกันยาภายในบ้านหลังอบอุ่นในรัฐออริกอน เมืองแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา 
 
ภาพการใช้แขนเดินไปมาภายในบ้านอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพยุงตัวกระโดดขึ้น-ลงบนเก้าอี้ รวมถึงการพาร่างกายครึ่งท่อนไปวางไว้บนขอบอ่างล้างหน้าระดับสูงเท่าคนปกติใช้ เพื่อล้างมือและเอื้อมหยิบข้าวของเครื่องใช้ ทำให้ได้เห็นว่าหญิงแกร่งคนนี้อยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือตัวเองในทุกก้าวของชีวิตจริงๆ
 
“ฉันใช้ชีวิตเหมือนคนปกติเลยค่ะ เพียงแต่ใช้แขนเดินแทนเท้า และจริงๆ แล้ว ฉันไฮเปอร์กว่าคนทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ ฉันคิดเสมอว่าชีวิตคนเรามันมีทางออกของมัน แค่ต้องเชื่อมั่นว่าเราจะทำมันได้
 
สำหรับตัวฉันเอง ฉันพยายามจะพึ่งพาตัวเองทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แต่ฉันก็เข้าใจนะคะว่าบางครั้งเราก็อาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง และไม่เคยไปเหมารวมว่าทุกคนที่เป็นแบบนี้ ต้องช่วยเหลือตัวเองได้เท่ากับฉัน เพราะบางคนเขาอาจจะไม่สามารถพาตัวเองไปห้องน้ำได้อย่างสะดวก ต้องใช้ผู้ช่วยหรือตัวช่วยอื่น ซึ่งฉันก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องแย่อะไรเลย”
 
สิ่งหนึ่งที่นักสร้างแรงบันดาลใจรายนี้มักจะย้ำเสมอก็คือ เธอไม่ชอบ “ตัดสิน” ใคร เพราะเข้าใจดีว่าคนเราทุกคนต่างมีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ ยังมีสิ่งที่อยากฟันฝ่าไปให้ได้ เช่นเดียวกับตัวเธอเองที่ยังคงพยายามค้นหาและค้นพบเรื่องราวชีวิตในทุกๆ วัน
 
“ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาทดสอบ มันเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อเติมให้ฉันค่อยๆ ค้นพบความเป็นตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อฉันได้ลองทำหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง มันก็ทำให้ฉันรู้ว่าขอบเขตของตัวเองอยู่ตรงไหน อะไรที่เราทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ และแน่นอนค่ะว่าเราไม่จำเป็นจะต้องแข็งแกร่งตลอดเวลาหรอก ไม่ต้องฝืนทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ทั้งหมดด้วยตัวเองก็ได้”
 
เกิดมาพร้อมร่างกายพิเศษไม่เหมือนใคร
 
ลักษณะพิเศษของกันยาที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เกิดกับแค่บริเวณช่วงขาเท่านั้น แต่ที่นิ้วมือของเธอเองก็แตกต่างจากคนอื่นเหมือนกัน คือมือขวามีเพียง 3 นิ้ว ได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ส่วนมือซ้ายของเธอ ถึงจะมีนิ้วครบทั้ง 5 แต่ในตอนแรกกลับมีพังผืดยึดโคนนิ้วไว้ จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดแยกออกตั้งแต่ตอนอายุ 7 ขวบ และปัจจุบันมือทั้งสองข้างของเจ้าตัวก็ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้ว
 
“ฉันอาจจะไม่เหมือนกับบางคน ที่ได้เกิดมาพร้อมกับการมีนิ้วเท้าจริงๆ หรืออาจจะมีดวงตาตี่กว่าคนอื่นๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน เหมือนกับที่ทุกคนบนโลกใบนี้เกิดมาด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือนกัน 
 
และฉันก็มักจะบอกทุกคนเสมอว่า คนทุกคนมีเอกลักษณ์ มีความพิเศษเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องมาให้ใครมาพูดถึงคุณในแง่ลบ หรือทำให้คุณรู้สึกย่ำแย่กับสภาพร่างกายของตัวเองเลย”
 
 
“ไร้ขา” ก็คูลได้!! ชีวิตอิสระบน “สเกตบอร์ด”
 
เท่ออนบอร์ด ตามสไตล์ตัวเอง
 
[เท่ออนบอร์ด ตามสไตล์ตัวเอง]
ถ้าไม่มีขา คุณจะเลือกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยวิธีไหน? ถ้าไม่นับรวมยวดยานพาหนะที่สามารถพาไปได้ หลายคนคงให้คำตอบคล้ายๆ กันว่า “วีลแชร์” น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับสาววัย 26 รายนี้แล้ว เธอเลือกที่จะให้ “สเกตบอร์ด” กลายเป็น “4 ล้อต่างขาคู่ใจ” ภาพที่มักจะได้เห็นส่วนใหญ่ จึงเป็นภาพสาวเปรี้ยวร่อนบอร์ดอยู่ตามแนวชายหาดเวนิส (Venice Beach) หรือตามลานสเกตย่านแคลิฟอร์เนีย
 
ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ลีลาการไซด์โค้งบนบอร์ดของเธอ ไม่ใช่แค่ระดับเบสิก แต่เต็มไปด้วยท่าพลิกแพลง ใช้แขนค้ำ-ชูตัวสูงในท่าบีบอยบนทางลาดชัน และด้วยความซนปนกล้าแบบนี้นี่เองที่ทำให้หลายต่อหลายครั้ง ผู้หญิงไซส์มินิคนนี้ต้องถึงกับล้มหน้าคะมำ กระเด็นกระดอน ตัวหลุดออกจากบอร์ด แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็พร้อมจะฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วหัวเราะร่าให้กับแผลถลอกเหล่านั้นแบบสบายๆ 
 
“สำหรับฉัน “สเกตบอร์ด” คือตัวแทนของ “อิสรภาพ” ที่ฉันเล่นก็เพราะฉันรักในความไร้ขอบเขตของมัน รักในความรู้สึกมีชีวิตชีวาทุกครั้งที่ได้นั่งอยู่บนนั้น ได้ปล่อยตัวเองลงไปบนทางชัน และมันก็ทำให้ฉันได้พบเจอผู้คนเจ๋งๆ ที่ไม่มีขาเหมือนๆ ฉัน แต่ก็สามารถเล่นท่าพลิกแพลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลายคนมาจากต่างที่กัน แต่ก็มาแชร์ทริกให้กัน ซึ่งเป็นสังคมที่ฉันอยู่แล้วมีความสุขมากจริงๆ
 
หนึ่งในสิ่งที่ฉันภาคภูมิใจก็คือ โทนี่ ฮาว์ก (Tony Hawk โปรสเกตบอร์ดระดับโลก) มากด follow ฉันในอินสตาแกรมด้วย และเพราะสเกตบอร์ดนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ฉันได้เป็นเพื่อนกับคนเจ๋งๆ อย่างเขา (ยิ้ม)
 
 
 
ถ้าให้ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการเล่น มันคือตอนฉันอายุ 9 ขวบค่ะ หลังจากเห็นเพื่อนบ้านเล่น แล้วรู้สึกว่า โอ้..นี่มันอะไรกัน รู้สึกตื่นเต้นกับมันมากๆ เลยอยากลองเล่นดูบ้าง จากนั้นฉันก็เริ่มใช้แขนของฉันเคลื่อนบอร์ดแทนขา แล้วก็มีชีวิตอยู่บนสเกตบอร์ดเป็นหลักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
 
พูดถึงตอนหัดเล่นใหม่ๆ ก็ยากอยู่เหมือนกัน จะว่าไปฉันเคยเกือบถูกรถชนด้วย (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นฉันไถลสเกตบอร์ดลงมาจากเนินเขาโดยที่อาจจะระวังไม่พอ พอดีกับช่วงจังหวะรถตัดหน้ามา จนทำให้ฉันเกือบถูกรถชน เฉียดไปนิดเดียว ตอนนั้นฉันถึงกับกระเด็นออกจากบอร์ดเลยนะ
 
แต่ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ บางครั้งเราอาจต้องปล่อยให้ชีวิตถึงจุดที่ล้มเหลว ผิดพลาด หรือร่วงหล่นจากสเกตบอร์ดไปบ้าง เพื่อที่จะกลับขึ้นมาทรงตัวให้ได้ใหม่ในแบบที่เก่งกว่าเดิม ดีกว่าเดิม”
 
 
 
ให้ลองเปรียบเทียบความรู้สึก ระหว่างเลือกใช้ “วีลแชร์” กับ “สเกตบอร์ด” ต่างขา กันยาตอบได้ทันทีเลยว่า เธอรักที่จะเคลื่อนไหวพลิ้วๆ บนบอร์ดเท่ๆ มากกว่าการนั่งบนเบาะ 2 ล้อที่เคลื่อนไวไม่ได้อย่างใจ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกแก่เร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น แต่หลังจากโตขึ้น ปล่อยวางจากเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น เธอก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วว่า เธอไม่จำเป็นต้องดื้อแพ่งที่จะใช้สเกตบอร์ดอย่างเดียวเสมอไป
 
“บอกตรงๆ ว่า ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกไม่สะดวกใจเท่าไหร่ รู้สึกอายๆ ที่จะต้องพาตัวเองมานั่งอยู่บนวีลแชร์เวลาไปไหนมาไหน ฉันก็เลยเลือกที่จะอยู่บนสเกตบอร์ดมากกว่า เพื่อให้ตัวเองรู้สึกได้รับอิสระมากกว่า 
 
แต่พอฉันโตขึ้น ฉันก็ทำใจได้และเข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้น มันเลยทำให้ฉันเลิกแคร์สายตาที่คนอื่นมองมา และฉันก็ค้นพบว่าทั้งสเกตบอร์ดและวีลแชร์ มันก็คือสิ่งที่ใช้ต่างขาของฉันได้เหมือนๆ กัน และเราก็ควรจะเลือกใช้ให้มันถูกที่ถูกเวลาด้วย
 
อย่างเวลาฉันไปชอปปิง ช่วงหลังๆ ฉันจะชอบใช้วีลแชร์มากกว่า เพราะมันควบคุมยากเกินไป ที่จะอยู่บนสเกตบอร์ดไปด้วย และชอปฯ ไปด้วย คือฉันเคยลองแล้วค่ะ แล้วมันไม่เข้ากันเลย ดูแล้วตลกมาก (ยิ้ม)
 
หรืออย่างบางวันที่ฉันขี้เกียจจะ active อะไรมาก ฉันก็จะเลือกใช้วีลแชร์มากกว่า และพอฉันอายุมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็แก่ขึ้นมากแล้ว 26 แล้ว (หัวเราะ) ฉันก็คงต้องเริ่มปล่อยให้ตัวเองชิลมากขึ้น เหมือนเข้าใจแล้วว่าเราไม่จำต้องพยายามทำตัวให้ดูเท่อยู่ตลอดเวลาก็ได้” 
 
 
“ครอบครัวข้ามทวีป” อบอุ่นแม้ “กำพร้า”
 
"พ่อเดวิด” ครอบครัวบุญธรรมในอเมริกา
 
จากทารกน้อยคนนึงที่ถูกทิ้งไว้ บริเวณขั้นบันไดหน้าโรงเรียน ใกล้วัดแห่งหนึ่งใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในวันที่ 13 เดือนกันยาฯ สู่อ้อมกอดของเหล่านางฟ้าชุดขาว ประจำโรงพยาบาลปากช่องนานา ที่ช่วยประคบประหงมและตั้งชื่อให้เธอตามชื่อเดือนแห่งโชคชะตา 
 
กระทั่ง “หนูน้อยกันยา” เติบโตถึงวัยที่น่าจะพอตามหาคนที่ทอดทิ้งเธอได้ เด็กน้อยวัย 4 ขวบจึงได้รับการอุปการะจาก “สหทัยมูลนิธิ” ในเวลาต่อมา กระทั่งสามารถจัดหา “ครอบครัวอุปการะ” ให้ช่วยเลี้ยงดูเป็นการชั่วคราวในไทย แล้วส่งต่อไปยัง “ครอบครัวบุญธรรม” ในอเมริกาอีก 1 ปีให้หลัง 
 
ส่งให้เด็กน้อยในวัย 5 ขวบต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตอีกครั้ง และครั้งนี้กลับกลายเป็นครั้งที่เธอต้องจดจำมันไปตลอดกาล
 
ความอบอุ่นของ "ครอบครัวบุญธรรม"
“ช่วงแรกๆ ที่ต้องย้ายมาอเมริกา ฉันก็มีความคิดเหมือนกันว่า อยากจะกลับไปอยู่ในที่ที่เป็นที่ของฉัน ที่ที่ผู้คนพูดคุยภาษาเดียวกับที่ฉันเคยอยู่ ความรู้สึกไม่คุ้นชินต่างๆ มันถาโถมเข้ามา แต่สุดท้ายแล้ว มันก็กลายเป็นเส้นทางใหม่ในชีวิตที่ทำให้ฉันมีทุกวันนี้ได้ 
 
หลังจากมาอยู่กับครอบครัวบุญธรรม มันคือการเปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของฉันไปอีกมุมนึงเลย ทั้งวิธีการมองโลก ทั้งชีวิตที่นี่ ซึ่งแตกต่างจากสถานที่ที่ฉันจากมา แต่ฉันก็มีความสุขกับมันมาก และมันก็ทำให้ฉันอยากจะเริ่มทำอะไรท้าทายตัวเองให้ได้มากที่สุด ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของฉันมากที่สุดช่วงนึงเลย แต่มันก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ฉันจะจดจำไม่ลืมในชีวิต”
 
แน่นอนว่าตัวละครหลักที่ช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ชีวิตหนูน้อยกันยา คงหนีไม่พ้น “คุณแม่เจน (Jane)” และ “คุณพ่อเดวิด เซสเซอร์ (David Sesser)” ผู้รับอุปการะอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มอบสัญชาติ และมอบชีวิตใหม่ให้แก่เธอ โดยเฉพาะคนเป็นแม่บุญธรรมที่เป็นห่วงสาวน้อยมาก ถึงกับลงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านการศึกษาพิเศษ เพื่อให้สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อการเลี้ยงดูกันยาให้ได้มากที่สุด 
 
"แม่เจน" คุณแม่สุดเจ๋ง แม่บุญธรรมผู้มีพระคุณ
ความทุ่มเทของ “ครอบครัวเซสเซอร์” ยังไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น เพื่อให้เด็กหญิงตัวน้อยได้มีชีวิตที่สะดวกสบายเทียบเท่าเด็กๆ ทั่วๆ ไป พวกเขาถึงกับลงทุนสร้างทางสำหรับรถเข็น จากบ้านสู่โรงเรียนขึ้นมาใหม่ รวมถึงการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรในระดับที่หนูน้อยจะเอื้อมถึงได้ 
 
เช่นเดียวกับการออกเงินปรับปรุงทางลาดเพื่อไปยังสนามเด็กเล่นประจำเมือง เพื่อให้เด็กหญิงกันยาไม่ต้องคอยมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะเข้าไม่ถึงเครื่องเล่นอีกต่อไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกันยาจึงได้แต่กล่าว “ขอบคุณ” ครอบครัวของเธอซ้ำๆ ตลอดบทสนทนา
 
“ครอบครัวบุญธรรมของฉันเป็นคนที่มีจิตวิญญาณรักอิสระ และพร้อมจะมอบความรักให้แก่ฉันเสมอๆ ค่ะ เห็นได้จากการที่ท่านรับฉันไปเลี้ยงดู ฉันก็เกิดคำถามเหมือนกันนะคะว่า ทำไมท่านถึงเลือกรับฉันไปเลี้ยง แทนที่จะเป็นเด็กคนอื่นๆ ที่อาจจะดูเลี้ยงไม่ลำบากเท่า แต่ท่านเคยบอกกับฉันว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นฉัน ท่านก็รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ รับรู้ถึง connection ระหว่างเรา 
 
จำได้ว่าตอนนั้น มีหลายคนที่สนับสนุนให้ฉันไปอเมริกา รวมถึงแม่บุญธรรมที่บอกฉันว่า พวกเขาเตรียมของขวัญเอาไว้ให้ฉันเยอะเลยนะ ทั้งขนมและลูกอม (ยิ้ม) เหมือนพยายามล่อให้ฉันไปที่นั่นให้ได้ และฉันก็มีความสุขมากค่ะที่ได้รับการต้อนรับที่ดีขนาดนั้น ต้องขอบคุณพวกท่านมากๆ ค่ะ ที่คอย support ฉันมาตลอด ท่านทำให้ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่า อยู่กับพวกท่านคือการได้ “กลับบ้าน” ของตัวเองจริงๆ”
 
“ครอบครัวอุปถัมภ์” เคยช่วยเลี้ยงดูก่อนไปอเมริกา
บอกได้เลยว่าทัศนคติบวกๆ ที่อัดแน่นในตัวของกันยาอยู่ตอนนี้ เป็นผลผลิตของการ “มอบความรัก” ให้แก่เด็กตัวน้อยๆ คนนึงอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ช่วงชีวิตก่อนวัย 5 ขวบ ที่ถูกเลี้ยงดูโดย “แม่จันทร์ (บุญจันทร์ ไชยแขวง)” และ “แม่ต้อย” นางพยาบาลผู้คอยประคบประหงม รวมถึง “ความอบอุ่น” ที่ได้รับจากครอบครัวอุปการะชั่วคราว, ครอบครัวบุญธรรม และพี่ๆ ในสหทัยมูลนิธิ ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์แสงแรกๆ ในชีวิต ที่ทำให้เธอก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้
 
“เทียบกับเด็กๆ คนอื่นๆ ที่ต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกับฉัน ถือว่าฉันโชคดีมากๆ ที่ได้รับการดูแลจากที่นี่ เพราะเท่าที่ฉันได้รับรู้ข่าวคราวมา มีเด็กกำพร้าหลายคนที่ไม่ได้รับโอกาสที่ดีๆ เหมือนอย่างที่ฉันเคยได้ ที่แย่กว่านั้นคือมีบางที่ที่เลี้ยงดูเด็กด้วยความรุนแรง เด็กถูกกดขี่ข่มเหง 
 
ฉันบอกได้เลยค่ะว่า ถ้าฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแม่ต้อย แม่จันทร์ ฉันคงไม่ได้เป็นฉันอย่างทุกวันนี้ และไม่มีวันที่ฉันจะกลายเป็น “คนคิดบวก” ได้แบบนี้ ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ฉันถูกโอบล้อมไปด้วยคนที่รัก และอยากดูแลฉันจากหัวใจจริงๆ
 
“แม่จันทร์” นางพยาบาลผู้ช่วยเลี้ยงดูถึง 4 ปี
มันสำคัญมากนะ สำหรับเด็กๆ ที่จะทำให้เขารู้สึกว่าได้รับความรักและความใส่ใจตั้งแต่ยังเป็นทารก และเมื่อเขาเติบโตขึ้น มันก็สำคัญมากที่จะมีใครสักคนในชีวิต ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้ “กลับบ้าน” อยู่เสมอๆ จากใครสักคนนึงที่เป็นเหมือนพ่อและแม่ให้แก่เขาได้ เมื่อเวลาที่พ่อแม่จริงๆ ของพวกเขาไม่อยากรับหน้าที่นั้น หรือไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้
 
สำหรับฉันแล้ว ฉันรู้สึกเสมอค่ะว่า คำว่า “ครอบครัว” มันไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นคนที่ผูกพันทางสายเลือดเสมอไป แต่คือคนที่เลี้ยงดูเรามา คือคนที่รักคุณ ช่วยเหลือคุณ และพร้อมจะอยู่ตรงนั้นเพื่อคุณได้ 
 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้เด็กคนนึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ในแบบที่เขาได้รับการปลูกฝังและถูกเลี้ยงดูมา และสิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่จะกลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในตอนที่เด็กคนนั้นโตขึ้น เพื่อให้เขามีพลังที่จะใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต”
 
 
ไม่เคยคิด “ฆ่าตัวตาย” ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ
 
 
กลับมาไทย เพื่อส่งกำลังใจผ่านงานเสวนา “No Legs No Limits ด้วยมือแห่งรัก” ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
จะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ ที่เกิดมามีร่างกายเหมือนกันยา แล้วยังบอกซ้ำๆ ด้วยแววตาเปี่ยมสุขว่า “ฉันโชคดี” แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ากลับรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ โดยให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดี นั่นเป็นเพราะเธอยินดีเสมอในสิ่งที่ตัวเองมี และไม่เคยคิดดูถูกตัวเองแม้เพียงสักครั้งเดียว
 
“ด้วยความคิดแบบนั้นแหละค่ะ ที่ทำให้ทุกคนมักจะมองว่า ฉันช่างเป็นคนคิดบวก เข้มแข็ง หรือสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้ แต่จริงๆ แล้ว ฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดบวกอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ (ยิ้มบางๆ) มันก็มีเหมือนกันในบางครั้งฉันก็รู้สึกว่า ฉันไม่อยากจะทำสิ่งนี้อีกแล้ว หรือมีบางครั้งที่ฉันทำมันไม่สำเร็จ เหมือนทุกอย่างมันเหลวเป๋วไปหมด 
 
ฉันก็เหมือนคนอื่นๆ แหละค่ะ ที่ยังมีจุดอ่อนของตัวเอง และบางครั้งเราก็จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองล้มเหลวบ้าง ให้รู้จักอยู่กับความรู้สึกลบๆ ในชีวิตบ้าง เพื่อที่จะเรียนรู้และเติบโตไปกับมัน
 
มันเป็นเรื่องปกติค่ะ ที่ทุกคนต้องเคยมีทั้งความคิดด้านบวกและด้านลบเกิดขึ้นในชีวิต มีวันที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และวันที่หมดเรี่ยวแรง... 
 
มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราจะรู้สึกไม่เข้าใจ สงสัย หรือตั้งคำถามอะไรบางอย่างกับตัวเองในหลายๆ ครั้ง เพราะมันคือหนทางที่จะพาคุณไปสู่การพัฒนาตัวเอง เข้าใจตัวเอง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองในแบบที่คุณอยากจะเป็น”
 
 
เช่นเดียวกับตัวเธอเองในวัย 21 ปี ที่ครั้งนึงเคยเป็นแค่ “สาวรักสนุก” เน้นหนักกิน-ดื่ม-เที่ยว-ปาร์ตี้ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเพราะยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี กระทั่งเมื่อตั้งสติได้จึงค้นพบว่าความหมายของชีวิตสำหรับตัวเองคืออะไร
 
“ฉันเคยรู้สึกแย่กับชีวิตในช่วงนั้นมากค่ะ ถือเป็นช่วงที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองหนักมาก เหมือนพยายามค้นหาความหมายของชีวิตว่าคืออะไร แต่หลังจากนั้นฉันก็คิดได้ว่า ฉันไม่อยากรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องปาร์ตี้และเมาปลิ้นอยู่ตลอดเวลา ฉันก็เลยตัดสินใจไม่ทำแบบนั้นอีก”
 
ถึงวันนี้ เข็มทิศในชีวิตของกันยาเปลี่ยนไปจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง คือเลือกปรับเป้าหมายให้ชี้ไปยัง “ทิศแห่งความสุข” โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเองให้มากที่สุด กลั่นกรองทุกการกระทำออกมาจากหัวใจ และต่อให้ทางข้างหน้าจะขรุขระสักแค่ไหน ก็จะมี “หัวใจเกินร้อย” คอยช่วยพยุงตลอดทาง
 
“ฉันไม่คิดว่าคนเราจะสามารถทำทุกอย่างออกมาได้สมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้นนะคะ มันก็ต้องมีบางช่วงเวลาที่เรารู้สึกอยากจะพัก อาจจะมีบางวันที่ล้มเหลงไปบ้าง แต่ก็ขอให้อย่ายอมแพ้กับสิ่งที่คุณใฝ่ฝัน ถ้าครั้งก่อนคุณคิดว่าทุ่มพลังไปหมดแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์แต่มันยังไม่สำเร็จ เราก็ลองกลับมาเก็บพลังใหม่ แล้วค่อยออกไปทำใหม่ คราวนี้ให้ได้มากกว่าเดิม อาจจะ 120 เปอร์เซ็นต์ 
 
อย่างตัวฉันเอง เวลาใช้มือพิมพ์อะไรก็ตาม ฉันก็อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่นๆ ด้วยสภาพนิ้วที่เป็นแบบนี้ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ เราต้องไม่ไปกังวลว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง เราแค่ต้องทำในแบบของตัวเองต่อไป และอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แค่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ แล้วเดี๋ยวชีวิตคุณจะมีทางไปของมันได้เอง”
 
 
เคยคิดอยากฆ่าตัวตายบ้างไหม? ผู้สัมภาษณ์ขอถามออกไปตรงๆ หลังพิจารณาแล้วว่า คนตรงหน้าดูจะไม่มีคำว่า “ถอดใจ” อยู่ในพจนานุกรมชีวิตเลย และคำตอบที่ได้รับก็ยิ่งทำให้แน่ใจเข้าไปใหญ่ เพราะเธอโต้กลับมาทันทีว่า “ไม่ค่ะ” ผ่านน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว และแววตาที่สื่อสารชัดเจนว่าไม่เคยคิดอยากยอมแพ้
 
เธอไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะต้องเกิดมาในสภาพร่างกายเช่นนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่เกิดมาพร้อมร่างกายครบ 32 แล้ววันนึงโชคชะตากลับเล่นตลก ต้องสูญเสียสิ่งที่เคยมี หรือต้องเปลี่ยนเป็นมานั่งวีลแชร์แบบนี้ ก็อาจเป็นอีกความรู้สึกนึง ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากไปตัดสิน 
 
ทำได้เพียงขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ ให้คนที่กำลังเผชิญเรื่องราวหนักหนาครั้งใหญ่ ก้าวข้ามผ่าน “ความเจ็บปวด” เหล่านั้นไปให้ได้ เพื่อวันนึงจะได้หันกลับมายิ้มอย่างภาคภูมิใจว่า ครั้งนึงเราเคยแข็งแกร่งขนาดไหน ในวันที่พายุลูกใหญ่พัดมา
 
“ฉันมองว่ามันเป็นเรื่องยากมาก แล้วก็กล้าหาญมากด้วยที่เขาเหล่านั้น จะลุกขึ้นมาเรียนรู้ชีวิตใหม่ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้เขาสามารถเดินต่อไปในชีวิต จุดสำคัญก็คือการปล่อยเวลาให้เราได้เรียนรู้ตัวเองว่า ในร่างกายที่มีอยู่เท่านี้ เราจะจัดการกับมันยังไง 
 
อีกหนึ่งอย่างที่ฉันอยากจะย้ำก็คือ เราไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการเอาตัวเองไป “เปรียบเทียบ” กับใครในสิ่งที่เขามี แต่เราไม่มี แล้วก็อยากให้หลายๆ คนอย่าไปตัดสินคนอื่นค่ะ เพราะคุณไม่มีวันรู้หรอกว่า ชีวิตของคนแต่ละคน เขาต้องพบเจออะไรมาบ้าง
 
ถ้าจะให้ฉันพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันคงอยากให้กำลังใจพวกเขามากกว่า อยากบอกเขาว่า คนที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทุกอย่างในจิตใจของคุณ ก็คือตัวคุณเอง คนที่จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของคุณ ก็คือตัวคุณเองอีกนั่นแหละ และขอให้รู้ว่าไม่ว่าจะยังไง โลกใบนี้ก็ยังมีคนรักคุณ คุณเกิดมาเพื่อถูกรัก 
 
ทุกคนบนโลกใบนี้เกิดมาแตกต่างกัน มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ฉันจึงไม่อยากไปตัดสินความคิดของใคร แต่อยากให้คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือกำลังคิดสั้นรู้ว่า เกิดมาทุกคนก็มีเพียงชีวิตเดียว และมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยที่คุณจะไม่สามารถสมบูรณ์พร้อมอย่างที่ต้องการ เพราะไม่มีใครหรอกค่ะที่เพอร์เฟกต์ 
 
และไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ขอให้คุณตั้งสติให้ดี เพราะบางสิ่งบางอย่างที่คุณเลือกทำ บางครั้งมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบ และคุณก็เป็นคนเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดและอารมณ์ชั่ววูบเหล่านั้นได้ ขอให้เชื่อมั่นว่าถ้าคุณคิดจะลบความคิดลบๆ ออกไป คุณก็สามารถทำมันได้ หรือแม้แต่ถ้าเราอยากจะสร้างความคิดบวกให้ตัวเอง คุณก็สามารถทำมันได้เหมือนกัน 
 
แต่ฉันก็เข้าใจนะคะ เพราะคนเรามันก็จะมีช่วงชีวิตที่สับสน ตั้งคำถามหลายๆ อย่างกับตัวเอง และมันก็ไม่เป็นไรเลยถ้าคุณจะรู้สึกอย่างนั้นบ้างในชีวิต อยากให้รู้ว่า “คุณไม่ได้โดดเดี่ยว” ยังมีผู้คนอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่รู้สึกอย่างเดียวกัน และถ้าเราปล่อยเวลาให้ตัวเองได้ไตร่ตรองดูสักหน่อย ทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปได้เอง 
 
บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคำตอบกับบางสิ่งบางอย่างให้ได้เดี๋ยวนั้น ไม่ต้องไปเร่งรัดอะไร แค่ปล่อยให้มันเป็นไป และรู้จักทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน หันมาชื่นชมในสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตให้มากขึ้น หันมาชื่นชมสิ่งที่เรามี แต่เราอาจจะไม่เคยมองเห็นค่าของมัน 
 
และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำแบบนั้นได้ มันก็จะทำให้คุณมีความสุขได้มากขึ้นเอง เพราะคนที่จะสร้างกำลังใจที่ดีที่สุดให้กับเรา ไม่ใช่ใครหรอกค่ะ นอกจากกำลังใจที่เราสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง”
 
เลี่ยง “พลังงานลบ” ลอยตัวเหนือ “คำดูถูก”
 
"กันยา" กับการเล่นสเกตบอร์ด
 
ฉันไม่รู้ว่า “ความรู้สึกลบ” สำหรับคนอื่น มันเหมือนหรือแตกต่างจากที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า แต่สำหรับฉัน ส่วนใหญ่มันจะเกิดขึ้นเมื่อฉันรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเอง ซึ่งวิธีจัดการความรู้สึกของฉันก็คือ การ “นั่งสมาธิ” ค่ะ หรือไม่ก็ “ฟังเพลง” เพื่อผ่อนคลาย เพื่อให้ใจเราปล่อยวางจากสิ่งที่รู้สึกตอนนั้นก่อน ปล่อยให้สภาพจิตใจพร้อม แล้วค่อยกลับมาหาคำตอบทีหลัง
 
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถจัดการกับตัวเองได้ ก็คือคุณต้องหัดปล่อยวาง และมองบางเรื่องด้วยอารมณ์ขันบ้าง เราอาจจะแค่หัวเราะไปกับมัน ฉันคิดว่าหลายๆ คนก็ดูจริงจังกับชีวิตจนเกินไป ทั้งๆ ที่บางครั้งสิ่งที่เราควรทำ ก็แค่หยุดคิดมากแล้วก็หัวเราะไปกับมัน ยิ้มกับตัวเอง ยิ้มให้ชีวิตให้ได้เยอะๆ กว่านั้น แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไป
 
 
ส่วนความรู้สึกลบๆ ที่เกิดจาก “คำดูถูก” ของคนอื่น อันนั้นฉันไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ ไม่ว่าใครจะหยิบคำพูดลบๆ อะไรมากระแทกใจฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยรู้สึกไปตามนั้น เพราะฉันเชื่อในตัวตนของตัวเองมากกว่าคำพูดเหล่านั้น
 
เวลามีคนพยายามล้อเลียนฉัน โดยเฉพาะพวกนักเลงคีย์บอร์ดบนโลกออนไลน์ ที่มักจะเข้ามาคอมเมนต์ด้วยถ้อยคำหยาบคายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การด่าว่าฉันเป็นส่วนเกินของโลกใบนี้ เป็นตัวประหลาดที่ควรถูกกำจัดทิ้ง หรือไม่ก็ไล่ให้ฉันไปฆ่าตัวตายซะเถอะ ฯลฯ แต่ฉันก็ไม่เคยแคร์เลย เพราะฉันรู้ว่าพวกเขาก็เป็นแค่คนใจร้ายที่อยากทำให้คนอื่นทุกข์ใจแค่นั้นเอง 
 
ฉันคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเสียพลังงาน-เสียความรู้สึกให้แก่คนที่ไม่ควรค่า เราจำเป็นต้องปกป้องตัวเองจากพลังงานด้านลบ และอย่าปล่อยให้ตัวเองยอมรับคำพูดลบๆ เหล่านั้น เพราะคุณคือคนที่ดีกว่า เหนือกว่าคำพูดดูถูกเหล่านั้นแน่นอน
 
“รัก” ด้วยหัวใจ ไม่มีคำว่า “พิการ”
"ร็อบ" หนุ่มคนรู้ใจที่สุดในเวลานี้
 
 
กันยา : ฉันคิดว่าชีวิตคนเราทุกคน คงไม่สามารถที่จะมี “ชีวิตคู่ที่แสนเพอร์เฟกต์” อะไรขนาดนั้นได้อยู่แล้ว และฉันก็ไม่เคยคาดหวังให้มันต้องเป็นแบบนั้น สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือการ “มอบความรัก” ให้แก่กัน 
 
 
 
และต้องบอกว่า ร็อบ (Rob Ira Williams) เป็นผู้ชายที่ดีมากๆ ค่ะ เราคบกันมาได้ 7 เดือนแล้ว เขาช่วยเหลือฉันในหลายๆ เรื่อง เขาคือส่วนเติมเต็มอีกส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันทุกวันนี้ (ยิ้ม)
 
ที่สำคัญ เขาแค่มองเห็นฉันในแบบที่เป็นฉัน เขาไม่เคยตัดสินใคร และไม่เคยมองฉันว่าเป็นคนพิการหรือเป็นผู้หญิงไม่มีขา ซึ่งต่างจากแฟนคนอื่นๆ ของฉันที่มักจะมองฉันว่า ฉันเป็น “สาวไร้ขา” แต่คนคนนี้เขาแค่รักในสิ่งที่ฉันเป็นค่ะ
 
ร็อบ : ที่ฮามากคือเราเจอกันผ่านโปรแกรมหาคู่ในอเมริกา (ยิ้ม) แต่หลังจากผมได้แชตพูดคุยกับเธอแล้ว ผมแปลกมากที่ผมรู้สึกว่าเราคุยกันถูกคอ ที่สำคัญคือเธอไม่ตัดสินใคร และมันทำให้ผมรู้สึกว่าเรา connect กันได้ตั้งแต่ตอนนั้น
 
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้คุยกัน ผมไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่เธอเป็น จะเป็นปัญหาอะไรในการคบกันของเรา แล้วก็ไม่เคยมองว่าเธอแตกต่างอะไรจากคนอื่น เพราะกันยาก็สวยมาก ทุกครั้งที่ผมแวะไปดูโปรไฟล์ของเธอ ผมมักจะเห็นแนวความคิดบวกๆ ของเธอโพสต์เอาไว้เสมอๆ 
 
ผมสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาของเธอ โดยเฉพาะจิตใจที่งดงามของเธอที่มอบให้แก่คนอื่น ที่ผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอย่างที่ผมไม่เคยพบจากใคร อันนี้พูดจากใจเลย จริงๆ แล้วมันยากนะครับ ถ้าจะให้ผมอธิบายความรู้สึกที่มีต่อเธอผ่านคำพูด แต่เธอคือคนที่มีบุคลิกพิเศษอย่างที่ผมไม่เคยพบเจอ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมตกหลุมรักกันยา 
 
 
 
เธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก และในขณะเดียวกันก็มีจิตใจอ่อนโยนด้วย เธอไม่เคยขออะไรจากผม เธอพร้อมจะมอบสิ่งดีๆ ให้คนรอบข้างโดยไม่หวังผลตอบแทน และการได้พบเจอคนแบบนี้สักครั้งในชีวิต ผมว่ามันเหมือนเป็นโชคชะตาเลย
 
กันยาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบให้ใครมาช่วยเหลือเธอเท่าไหร่ เธอชอบทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง เวลาผมจะเข้าไปช่วยทำอะไร เธอก็มักจะบอกว่า “ไม่เป็นไรๆ ฉันทำเองได้” (หัวเราะเบาๆ) ซึ่งบางครั้งผมก็ต้องพยายามแสดงออกให้เธอรู้ว่า การที่ผมเข้าไปช่วย มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง หรือทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นภาระอะไรในชีวิตของผม 
 
และทุกวันนี้ผมก็พยายามจะช่วยเหลือเท่าที่เธอสบายใจ และสนับสนุนทุกอย่างที่เธอทำ โดยการมอบกำลังใจและคำชมให้แก่กัน
 
เปิดประสบการณ์ “เอ็กซ์สตรีม” ลุยทุกแบบ ไม่มีกลัว!!
 
 
 
ฉันชอบพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางพลังบวกค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มคนเล่นกีฬา ทั้งกลุ่มคนสเกตบอร์ด, สกี, นักเซิร์ฟ ฯลฯ เพราะมันทำให้ฉันได้พบเจอผู้คนมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีคนที่เกิดมาโดยมีร่างกายที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม ไม่ต่างไปจากฉัน แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงคำว่า “บ้าน” ได้อย่างเต็มใจ ถึงแม้คนเหล่านั้นจะถูกสังคมเรียกว่า “คนพิการ” ก็ตามที 
 
เล่นกระดานโต้คลื่น
 
ตอนที่ได้ไปโต้คลื่น ฉันก็ชอบมาก รู้สึกว่ามันท้าทายดี เราไม่มีวันรู้ล่วงหน้าได้เลยว่า จะต้องเจอคลื่นข้างหน้าที่พัดเข้ามาหนักแค่ไหน ก็เหมือนกับชีวิตในบางครั้งที่เราต้องพาตัวเองออกไป ถึงแม้เราอาจจะต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่จะพบเจอบ้างว่า สุดท้ายแล้ว มันจะออกมาเป็นแบบไหน
 
จริงๆ แล้วฉันชอบกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เคยชนะเลิศจูเนียร์โอลิมปิก ประเภทแข่งวีลแชร์ด้วย (กวาดหมดทั้งระยะ 100, 200 และ 300 ม.) แต่หลังจากนั้นฉันก็ถอนตัวออกมา เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางที่จะเติมเต็มฉันได้อีกต่อไป เพราะฉันยังอยากทำอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการเป็นนักกีฬาสเกตบอร์ดและโมโนสกี 
 
สมัยคว้าแชมป์จูเนียร์โอลิมปิก
 
หลังจากที่ฉันค้นพบตัวเองแล้วว่าอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร ฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะฉันมองว่าการเข้ามหาวิทยาลัยคือการปูพื้นฐานให้คนที่อยากเก็บเกี่ยวความรู้เพื่อนำไปใช้ในการสมัครงานในอนาคต ซึ่งฉันค้นหาตัวเองเจอมาตั้งแต่ตอนนั้น และสามารถใช้ความถนัดที่มีมาใช้หาเลี้ยงตัวเองได้ ฉันเลยตัดสินใจที่จะเป็นนายตัวเอง
 
และการที่ฉันไม่ต้องไปเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ มันก็ทำให้ฉันมีเวลาที่จะทำหลายๆ อย่างในชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเทรนร่างกายตัวเองในยิม ฉันใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง และที่นั่นมันก็ทำให้ฉันได้เพื่อนใหม่ๆ ซึ่งพยายามจะผลักดันฉันให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองในหลายๆ เรื่อง
 
 
 
ตอนนี้ถ้าเป็นกลุ่มกีฬาเอ็กซ์สตรีม ก็น่าจะเหลือ sky diving (กระโดดร่ม ดิ่งพสุธาออกจากเครื่องบิน) ค่ะที่ฉันอยากจะลอง แต่ก็ยังไม่เคยได้ลอง เพราะยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ อยู่ ยังเถียงกับตัวเองไปมาอยู่ แต่ล่าสุดก็ได้คำตอบออกมาว่า ไม่ต้องไปกลัวหรอก ลองทำไปเลย และฉันคิดว่าฉันน่าจะได้ลองทำสักครั้งนึงในชีวิต
 
ส่วนเรื่องความฝันอื่นๆ นอกนั้น ก็คงจะเป็นการออกเดินทางไปทั่วโลกค่ะ ฉันอยากมีโอกาสได้แวะเวียนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปเรียนรู้ผู้คนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการตามแต่ละมุมโลก ไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ หรือแลกเปลี่ยนกำลังใจให้แก่กันและกัน และหวังว่าสักวันนึงฉันจะสามารถเป็นส่วนนึงในการขับเคลื่อนกลุ่มคนพิการทั่วโลกได้จริงๆ
 
บุกตะลุยฮอลลีวูด ทุ่มแสดงทุกฉากเสี่ยง 
 
มีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง "Hawaii Five-0"
 
อีกหนึ่งความฝันของฉันคือการได้แสดงหนังค่ะ อยากเห็นตัวเองในจอภาพยนตร์ (ยิ้ม) แต่ที่ผ่านมาก็มีงานแนวนี้เข้ามาบ้างแล้ว มีได้เล่นซีรีส์เรื่อง "Hawaii Five-0" (ซีรีส์ดังเกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจ) ฉันรับบทเป็น Rosey Valera ที่เป็นนักเล่นเซิร์ฟที่สูญเสียขาของเธอไป ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีๆ มากๆ เลยค่ะสำหรับฉัน เพราะฉันเคยเป็นแฟนซีรีส์นี้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ และไม่เคยคิดว่าจะได้รับเชิญให้ร่วมแสดงมาก่อน
 
ถือเป็นความท้าทายในชีวิตมาก ที่ต้องมานั่งท่องสคริปต์ยาวๆ (ยิ้ม) แต่สุดท้ายฉันก็ทำมันออกมาได้ดีอย่างที่ต้องการ และฉันก็มีความสุขมากค่ะ
 
 
 
ส่วนเรื่อง “The Walking Dead” นี่ ฉันถึงกับต้องเดินทางไปออสเตรเลีย เพื่อที่จะถ่ายทำฉากเกี่ยวกับซอมบี้เลย และแน่นอนค่ะ ฉันรับบทเป็นซอมบี้ (ยิ้ม) ซึ่งฉันได้รับเลือกให้เล่นอยู่ 2 ครั้งด้วยกัน คือในซีรีส์ “The Walking Dead” และ “Fear the Walking Dead” 
 
จุดที่ท้าทายมากก็คือฉันต้องใช้เวลาถ่ายทำในฉากต่อสู้กันบนหลังรถบรรทุก ต้องไปห้อยโหนต่อสู้กันในระหว่างที่รถวิ่งบนลงไปบนถนนลูกรัง รวมๆ แล้วหลายสิบชั่วโมงด้วยกัน 
 
เพราะต้องถ่ายทำกันหลายครั้งมากๆ เนื่องจากผู้กำกับอยากได้มุมกล้องหลายๆ มุม ทั้งภาพมุมกว้าง, ถ่ายหน้ารับด้านซ้าย, ด้านขวา, ถ่ายครึ่งตัว ฯลฯ ฉันก็เลยต้องแสดงซ้ำๆ อยู่แบบนั้นประมาณ 50-60 กว่าครั้งได้ 
 
ยิ่งฉากต่อสู้บนรถบรรทุกยิ่งยากใหญ่ค่ะ เพราะเขาต้องถ่ายไว้หลายๆ มุมเพื่อนำไปตัดต่อ ให้เหมือนฉันตกลงไปจากรถด้วย ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสในชีวิตที่ดีมากๆ ค่ะ ที่ได้ลองเป็นนักแสดง
 
 
 
มีผู้คนมากมายที่อยากได้รับโอกาสแบบนี้ อยากเป็นนักแสดงในซีรีส์หรือหนังเรื่องดัง ซึ่งมันอาจจะดูสวยหรู แต่ก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำจริงๆ มันต้องอาศัยความอึดแค่ไหน ทั้งต้องอยู่กลางแดดจ้าๆ แถมยังต้องเล่นฉากเสี่ยงๆ ด้วย 
 
มีอยู่ฉากนึงค่ะที่ฉันต้องเข้าฉากต่อสู้กับอีกตัวละครในเรื่องอยู่บนหลังรถบรรทุก ซึ่งรับบทโดย Colman Domingo นักแสดงชื่อดังของอเมริกา และเขาก็คอยให้กำลังใจฉันตลอดการถ่ายทำ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากค่ะที่ได้ร่วมงานกับเขา 
 
เราทุ่มเวลาให้กับการถ่ายทำเยอะมากๆ ค่ะ คิดดูว่าฉันต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วถ่ายทำไปจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม เหลือเวลาให้ฉันนอนในแต่ละวันประมาณ 4 ชั่วโมง (ยิ้ม) แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับฉันมากค่ะ และพอผลงานออกมา ทุกคนก็ได้เห็นมัน
 
ไม่คิดหา “พ่อแม่ตัวจริง” ปล่อยทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง
 
หนูน้อยกันยา(ภาพตอนเด็ก)
 
[หนูน้อยกันยา]
สำหรับฉันแล้ว เวลาคิดถึงเมืองไทย ฉันมักจะคิดถึง “ภาษาไทย” ค่ะ คิดว่าอยากพูดภาษาไทยให้ได้ แล้วก็อยากซึมซับเอาวัฒนธรรมต่างๆ ของที่นี่มาไว้กับตัวให้มากขึ้น ส่วนเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของฉัน ฉันเลิกสนใจที่จะหาคำตอบจากมันไปนานแล้วค่ะ เพราะฉันมองว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิต มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุผลเบื้องหลังบางอย่าง และฉันก็ไม่อยากจะไปรื้อฟื้นหาเหตุผลเหล่านั้นอีกต่อไป 
 
ฉันไม่ค่อยสนใจกับเรื่องการตามหาตัวตนของพ่อแม่จริงๆ เท่าไหร่ค่ะ เพราะฉันรู้สึกว่าคำว่า “ครอบครัว” ก็คือคนที่เลี้ยงดูเรามามากกว่า
 
She's Kanya, The Independent Woman!!
 
 
 
ฉันเป็นคนไม่ค่อยอยากพึ่งพาใครเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะว่าฉันอยากจะพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นนะ เพื่อนๆ ก็บอกเหมือนกันว่า กันยาเธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นฮีโร่ ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลาก็ได้นะ ซึ่งฉันก็ไม่ได้พยายามจะทำอะไรแบบนั้นนะ ฉันก็แค่เป็นตัวฉัน (หัวเราะ)
 
มันตลกมากนะคะ ที่ทุกคนจะพยายามเข้ามาบอกฉันตลอดว่า คุณรู้ใช่ไหมกันยา ว่าคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจหรือคิดมากอะไรเลย แต่ฉันก็ไม่รู้จะบอกยังไงว่า ฉันเข้าใจค่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลืออะไร มันเลยกลายเป็นเหมือนเรื่องขำๆ ที่ฉันได้แต่เก็บมาคิดอยู่ในใจคนเดียว
 
 
 
แต่รู้ไหมคะว่า มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ ที่เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร เพราะฉันก็แค่คนธรรมดาคนนึง และฉันก็แค่คิดว่ามันเป็นบุคลิกส่วนตัวของฉัน มันคือการแสดงตัวตนของฉัน คือความหมายของการมีชีวิต คือสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้
 
หลายๆ สิ่งที่ฉันเลือกทำ ฉันไม่ได้ทำเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น แต่ทำเพื่อเติมเต็มตัวฉันเอง เหมือนอย่างที่เพื่อนสนิทฉันชอบพูดว่า “นี่แหละกันยา” แค่พูดแค่นี้ทุกคนก็จะเข้าใจแล้วค่ะว่า คำจำกัดความว่า “กันยา” หมายถึงอะไร (หัวเราะ) ไม่รู้สิคะ อาจจะหมายถึงความดื้อรั้นของฉันมั้ง ที่มันอาจจะอยู่ข้างในดีเอ็นเอมาตั้งแต่แรกแล้ว (ยิ้ม)
 
เบื้องหลังงานศิลป์-ความหมาย “รอยสัก”
 
 
 
รอยสักที่เห็นบนตัว ฉันได้มันมาตอนฉันอายุ 16 ปีค่ะ เพื่อนฉันเป็นคนช่วยสักให้ค่ะ และฉันก็เป็นคนดีไซน์ว่าอยากให้ออกมาเป็นแบบไหน อย่างตรงแขนขวาตรงนี้ ฉันก็สักชื่อของตัวเองเอาไว้ด้วย สักเป็นภาษาไทย (ชี้ที่ต้นแขนด้านใน) ส่วนสาเหตุที่ฉันเลือกสักก็เพราะในอเมริกา “รอยสัก” มันเป็นยิ่งกว่าคำว่า “ศิลปะ” เพราะมันสามารถบอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของคุณได้ 
 
ถ้าเทียบกับวัฒนธรรมเอเชียแล้ว การมีรอยสักอาจจะถูกตีความไปอีกแง่นึงก็ได้ (ยิ้มปลงๆ) แต่สำหรับฉันมันคือตัวแทนของเรื่องราว และฉันก็ยังอยากจะสักเพิ่มอยู่นะคะ (ยิ้ม) และคุณแม่บุญธรรมของฉันก็ชอบลุคของฉันแบบนี้นะ 
 
อาจจะเป็นเพราะพอเราโตขึ้น เราก็มักจะอยากเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวัยที่คุณเพิ่งก้าวผ่านความเป็นเด็ก มาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อย่างวัยของฉันตอนที่สัก ก็เหมือนเป็นช่วงแห่งการค้นหาตัวตน และเมื่อฉันมองกลับไปในวันนั้น ฉันก็มองเห็นเพียงแค่การตัดสินใจเลือก เพื่อค้นหาทางของตัวเองในอดีต ซึ่งมันเป็นบ่อเกิดที่หลอมรวมความเป็นฉันออกมาอย่างทุกวันนี้
 
มาจนถึงทุกวันนี้ ฉันก็ยังรู้สึกอยากที่จะค้นหาหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในชีวิตต่อไป ฉันยังคงตั้งคำถามกับทางเลือกในชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ฉันยังคงอยากเดินทางไปเรียนรู้ชีวิตในอีกหลายๆ แห่งบนโลกใบนี้ คงจะเป็นอย่างที่หลายคนบอกฉันเสมอค่ะว่า ฉันมันเป็นพวกอยู่ไม่สุข (ยิ้ม) เหมือนอยากลองทำสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับฉันแล้ว เมื่อฉันรู้สึกอยากลอง ฉันก็แค่ทำมันดู
 
สุดยอด “ไอดอล” แหวกกฎ-ไร้ลิมิต
 
 
 
ไอดอลในดวงใจฉันคือ “บรูซ ลี (Bruce Lee)” ค่ะ ฉันชอบเขามาก โดยเฉพาะโค้ตคำพูดให้กำลังใจของเขาที่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตไร้ลิมิต และฉันก็คิดว่าทุกคนบนโลกใบนี้สามารถใช้ชีวิตที่ไร้ลิมิตได้ ไม่ว่าคุณจะมีหรือไม่มีขา จะเกิดมาครบ 32 หรือเปล่า แค่คุณรู้จักรักตัวเอง แล้วก็รู้จักเผื่อแผ่ความรักให้แก่คนอื่นก็พอแล้ว 
 
ส่วนอีกคนที่ฉันปลื้มมากๆ ก็คือ “มาร์ก เวนส์ (Mark Wiens)” ค่ะ (ยูทูบเบอร์ด้านอาหารและการท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งมีผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 3 ล้านคน) ฉันกับแฟนของฉัน อยากจะลองตามไปกินรอบโลกกับเขาดูสักครั้งนึง (ยิ้ม)
 
 
ที่มาของข่าว https://mgronline.com/live/detail/9610000094868
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก