ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

"อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์" พิชิตฝัน.. "สู่ถนนแร็พเปอร์"

วันที่ลงข่าว: 04/07/18

          “ความพิการเป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้น ผมจึงไม่ยึดติดกับการที่เราไม่เหมือนคนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องการให้ใครมาวัดคุณค่าจากสิ่งที่เราเป็น” ...เป็นการระบุของ “อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์” ที่ขณะนี้กำลังโด่งดังอย่างมากบนโลกโซเชียล

"ความพิการเป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้น ผมจึงไม่ยึดติดกับการที่เราไม่เหมือนคนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องการให้ใครมาวัดคุณค่าจากสิ่งที่เราเป็น” ...เป็นการระบุของ “อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์” ที่ขณะนี้กำลังโด่งดังอย่างมากบนโลกโซเชียล ในฐานะดาวรุ่งจากเวทีประกวดดนตรีรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ ซึ่งเขามีลีลาร้องเพลงโดนใจผู้ชมและได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยที่เขาคนนี้เป็น “ผู้พิการสายตา” มองเห็นเพียงราง ๆ ทว่าความพิการไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาในการที่จะเดินตาม ฝันเพื่อการเป็น “ศิลปินแร็พ” แต่อย่างใด จนผู้คนต่างชื่นชมเขาในฐานะ “นักสู้ชีวิต” อีกคนหนึ่ง ซึ่งวันนี้เรามีเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้มานำเสนอ

          หนุ่มน้อย “อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์” คนนี้ มีชื่อในวงการแร็พเปอร์ที่แฟนเพลงแนวนี้รู้จักกันดีในชื่อฉายา “อู๊ด OZEEOOS” โดยเขาโด่งดังขึ้นมาในฐานะ “ศิลปินแร็พ” ซึ่งเขานั้นก็มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยอยู่ในยูทูบ ที่เป็นช่องทางที่เขาใช้เผยแพร่ผลงานและความสามารถด้านนี้ของตนเอง โดยเขาทั้งร้อง และเล่นดนตรี รวมถึงยังแต่งเพลงขึ้นเองอีกด้วย

 

          “ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ชอบความบันเทิงกันมากครับ” ...หนุ่มน้อยพูดเรื่องนี้ด้วยเสียงติดตลก ก่อนที่จะเล่าถึงประวัติชีวิตให้ฟังว่า เขาเกิดและใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กที่ จ.บุรีรัมย์ โดยเป็นลูกของ คุณพ่อสำเริง-คุณแม่สำราญ ศรีสังข์ ซึ่งเขาเคยเป็นลูกคนเล็ก จากพี่น้องทั้งหมด 4 คน... “แต่ก่อนผมเป็นลูกคนเล็ก แต่ตอนนี้ตำแหน่งนี้ของผมถูกแย่งไปแล้วครับ เพราะคุณแม่เพิ่งจะคลอดน้องคนสุดท้องออกมาไม่นานนี้เอง” ...เขาพูดแบบขำ ๆ ฉายภาพความช่างเล่น-ช่างอำของเขา

ส่วนเรื่องความบกพร่องทางสายตา ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิดนั้น เขาเล่าให้เราฟังว่า คุณแม่ได้เล่าให้เขาฟังว่าสาเหตุน่าจะมาจากในตอนที่ตั้งท้องคุณแม่ต้องกินยาต้ม เนื่องจากตอนนั้นคุณแม่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบ โดยตัวยาที่คุณแม่กินนั้นอาจจะมีฤทธิ์บางอย่างที่ทำให้สายตาของเขาเกิดความผิดปกติ แต่ถึงแม้จะมีร่างกายไม่ปกติ เขาก็ไม่ได้โกรธหรือรู้สึกว่าจะต้องโทษใคร โดยมองว่าอาจเป็นโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนมาเช่นนี้ ซึ่งเขาบอกว่า แม้จะพิการ แต่ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป ในวัยเด็กก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้เหมือนเด็กคนอื่น จนถึงเวลาต้องเข้าโรงเรียน เขาก็เข้าเรียนในโรงเรียนปกติที่บุรีรัมย์ จนอายุครบ 8 ขวบ คุณแม่จึงส่งเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ ในสังกัดมูลนิธิช่วยคนตา บอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์

          “ตอนที่เข้าโรงเรียนปกติ ผมก็เรียนได้นะ แต่ด้วยความไม่ปกติเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าเรายังไม่เหมาะกับการเรียนที่นี่ จึงตัดสินใจส่งผมมาโรงเรียนสอนคนตาบอด ที่กรุงเทพฯ โดย ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ คนเดียว โดยอยู่หอพัก แต่ก็ไม่ลำบากอะไร เพราะมีเพื่อน ๆ ที่เป็นเหมือนกันอยู่ด้วยกันอีกหลายคน” ...เขาบอก

พร้อมทั้งเล่าอีกว่า เรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดจนจบประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นไปเข้าเรียนระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงเรียนของเด็กปกติ โดยตอนนี้เขากำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งถึงแม้โรงเรียนใหม่จะไกลจากหอพัก การเดินทางต้องต่อรถหลายต่อ ทั้งนั่งรถมอเตอร์ไซค์วินไปต่อรถไฟฟ้า และต้องต่อรถสองแถว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะหยุดยั้งจนทำให้เขาไม่สามารถเดินทางไปเรียนได้

          “แรก ๆ ที่มาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผมเป็นเด็กที่พิการสายตา ที่ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นคนแรก แต่พอได้มาเรียนที่นี่จริง ๆ ผมก็พบว่าไม่ได้มีปัญหาเหมือนที่ใจเราคิดไปเองก่อนหน้านี้แต่อย่างใดเลย แม้ช่วงแรกจะมีเพื่อน ๆ บางคนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อน ๆ และเขาเอง ก็เริ่มปรับตัวได้ ก็จึงเข้าหากันได้มากขึ้น” ...หนุ่มน้อย “แร็พเปอร์ดาวรุ่ง” กล่าว

สำหรับ ความสามารถด้านดนตรี ของเขานั้น เจ้าตัวเล่าว่า อาจเป็นเพราะเขาได้ซึม ซับเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนอยู่บ้านที่บุรีรัมย์ คุณพ่อคุณแม่ชอบเปิดเพลงฟังจากวิทยุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงแนวลูกทุ่ง จนเมื่ออายุ 8 ขวบ ตอนที่เข้ามาอยู่โรงเรียนสอน คนตาบอด นั้นมีรุ่นพี่คอยเปิดเพลงให้ฟัง ทำให้ได้ฟังเพลงหลากหลายแนวมากขึ้น อีกทั้งที่โรงเรียนนี้มีวงดนตรีของโรงเรียนด้วย เขาจึงเข้าไปสมัครเพื่อเป็นนักร้องนำในวงดนตรีดังกล่าว

          “ช่วงแรก ๆ ที่เข้าวงก็มีโดนดุโดนว่าอยู่บ้าง แต่อาศัยว่าเราตั้งใจ จึงพยายามที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด จากนั้นตอน ช่วงอยู่ ป.5 ผมก็เริ่มสนใจอยากที่จะเล่นกีตาร์ เพราะคิดว่าถ้าได้เล่นกีตาร์ไปด้วยร้องเพลงไปด้วยคงจะดูเท่ไม่เบา (หัวเราะ) แต่จริง ๆ แล้วผมอยากฝึกเล่นกีตาร์เพื่อไปจีบสาวมาก กว่าครับ” ...เขาเล่าเรื่องนี้พร้อมหัวเราะแบบเขิน ๆ

          จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องของการแต่งเพลงว่า เพลงแรกของเขาที่แต่งขึ้นเองเกิดขึ้นตอนอายุ 10 ขวบ ซึ่งก็เป็นเพลง ที่ตอนแรกตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้ในภารกิจจีบสาว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นความหลงใหล ส่วนตัว จนพยายามฝึกฝนในเรื่องนี้อย่างหนัก ซึ่งที่สุดก็มีเพลงที่แต่งขึ้นเองในระยะเวลา 3-4 ปี มากถึง 16 เพลง โดยเพลงที่แต่งขึ้นส่วนใหญ่ก็จะนำไปใช้ร้องใช้เล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน “ตอนนั้นคิดแค่ว่าคนอื่นทำได้ ผมเองก็น่าจะทำได้!! จึงฝึกฝนตัวเองอย่างหนักในด้านนี้” ...เขากล่าว

          ส่วน ถนนสายแร็พเปอร์ นั้น เขาเล่าถึงเรื่องราวนี้ว่า อย่างที่ได้บอกไว้ในช่วงต้นว่า จากเดิมที่ตอนเด็ก ๆ เคยได้ยินได้ฟังแต่เพลงแนวลูกทุ่ง แต่หลังจากที่ได้ฟังเพลงหลากหลายแนวมากขึ้น ทำให้มีโอกาสได้ฟังเพลงแร็พจากวงดนตรีชื่อว่า Illslick ซึ่งพอได้ฟังแล้วเขารู้สึกชอบมาก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากที่จะร้องและเล่นเพลงแนวนี้บ้าง

         “ยอมรับเลยว่า ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงแร็พคืออะไร รู้เพียงแต่ว่าฟังแล้วชอบเท่านั้นเองครับ” ...หนุ่มน้อยกล่าว พร้อมระบุว่า หลังจากสนใจเพลงและดนตรีแนวนี้ เขาจึงเริ่มศึกษาและฟัง เพลงแร็พมาตลอด แต่ก็ฟังเฉพาะศิลปินของไทย จนเมื่อเริ่มชัดเจนกับตัวเองว่าชอบเพลงแนวนี้ ก็พยายามหาผลงานของศิลปินจากต่างประเทศมาลองฟังเพื่อศึกษา ซึ่งการที่ต้องฟังเพลงของศิลปินต่างประเทศนั้น ประโยชน์ที่เขาได้รับตามมาคือ เรื่องของทักษะภาษาอังกฤษ “ผมพยายามเรียนภาษาอังกฤษให้ดี เพราะจะได้นำมาใช้ฟังเนื้อร้องของแร็พเปอร์ต่างประเทศ และยังได้ใช้ประโยชน์เพื่อการแต่งเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วยครับ” ...เขาพูดถึงข้อดีข้อนี้

          ในวันนี้ จากเดิมที่เขาก็มีแฟนคลับที่ติดตามผลงานการร้องและเล่นเพลงแร็พทางช่องทางยูทูบอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง พอหลังจากที่เขาตัดสินใจเข้าประกวดในเวที THE RAPPER THAILAND ชื่อเสียงของอู๊ดก็โด่งดังในวงกว้างมากขึ้น เมื่อเพลงที่เขาแต่งขึ้นเองเพื่อใช้ร้องในรอบออดิชั่นนั้นโดนใจคณะกรรมการกับผู้ชมรายการเป็นอย่างมาก ซึ่งกับการเข้าประกวดครั้งนี้ เขาเล่าที่มาที่ไปให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า ตอนแรกไม่เคยคิดที่จะเข้าประกวด แต่ต่อมามีความคิดว่าการเข้าประกวดก็เป็นเหมือนการพิสูจน์ตัวเองว่าจะสามารถเดินต่อไปบนถนนดนตรีแนวนี้ได้หรือไม่ จึงตัดสินใจสมัครเข้าแข่งขันในรายการดังกล่าว โดยยอมรับว่าไม่คิดว่าจะผ่านรอบแรกเสียด้วยซ้ำ จนเมื่อทางทีมงานติดต่อเข้ามาว่าผลงานของเขาผ่านเข้ารอบ จึงทำให้รู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต

          แน่นอนว่าการประกวดแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ และเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ได้ไปต่อ โดยเขาเผยถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า “ตอนตกรอบยอมรับว่ารู้สึกเสียใจ รู้สึกแย่อยู่บ้าง แต่พอได้กำลังใจจากทุกคน ก็ทำให้หันกลับมาเดินหน้าทำตามฝันของผมต่อไปได้ ผมกลับมานั่งคิดกับตัวเองว่า มัวแต่มานั่งเศร้าก็ไม่ช่วยอะไร อีกอย่าง คนเราถ้าไม่เคยล้ม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องลุกยังไง ผมเลยสลัดความนอยด์ทิ้งไป และหันมาตั้งใจทำเพลงให้ดียิ่งขึ้น” ....เขากล่าวด้วยเสียงมุ่งมั่น

          แม้จะไม่ผ่านการแข่งขันจนเข้าไปสู่รอบลึก ๆ ได้อย่างที่แอบตั้งใจไว้ แต่เขาก็ได้พบ “เรื่องราวดี ๆ” จากการเข้าแข่งขันในเวทีนี้มากมาย โดย อู๊ดบอกว่า หลังแข่งขันเสร็จ มีหลาย ๆ คนได้เข้ามาให้กำลังใจและชื่นชมสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างมาก ซึ่งมีหลายคนบอกว่า เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ มีแรงฮึดเพื่อสู้ชีวิตเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเขา

          “ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตผมจะสามารถไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครได้ อย่างที่บอก แค่เข้าประกวดเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น ซึ่งเมื่อทราบว่าสิ่งที่ผมทำนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใคร ๆ อีกหลายคนได้ บอกตรง ๆ ผมดีใจที่สุดเลยนะครับ” ...หนุ่มน้อยคนเดิมระบุ

          “อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์” หรือ “อู๊ด OZEEOOS” หนุ่มน้อยที่มุ่งมั่นบนถนนสายดนตรีที่ตนเองชื่นชอบ บอก “ทีมวิถีชีวิต” ก่อนจะลากันว่า... คนเราต้องสร้างคุณค่าให้ตัวเรา คงจะให้ใครมาสร้างคุณค่าให้ไม่ได้ ซึ่งการที่จะตัดสินว่าเราทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ลองทำก็คงไม่รู้อย่างแน่นอน ซึ่งเขาเป็นเพียงผู้พิการคนหนึ่งที่มีโอกาสแสดงศักยภาพในตัวให้สังคมรับรู้ เขาเชื่อมั่นว่ายังมีผู้พิการที่มีความสามารถอีกมาก ที่รอโอกาสจากสังคมเพื่อเปิดพื้นที่ให้ได้แสดงศักยภาพ และเขาคนนี้ก็ย้ำทิ้งท้ายว่า...

 

“ถ้าหากเราอยากมีคุณค่า เราก็ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเราเองครับ”

 

โดย:บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์

 

ที่มาของข่าว https://www.dailynews.co.th/article/652322
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก

Fatal error: Call to undefined function drupal_get_path() in /usr/local/www/apache22/data/Braille-new/sites/all/modules/better_statistics/better_statistics.module on line 181