ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์เสร็จสิ้นแล้ว โดยนายกรัฐมนตรี สนับสนุนอาเซียนใช้ประโยชน์จากที่ตั้งขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค เร่งผลักดันเชื่อมโยงแนวระเบียงเศร

วันที่ลงข่าว: 30/04/18

          การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์เสร็จสิ้นแล้ว โดยนายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้อาเซียนใช้ประโยชน์จากที่ตั้งขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค พร้อมเร่งผลักดันเชื่อมโยงแนวระเบียงเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

          พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นภารกิจในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 แล้ว โดยวันนี้ได้เข้าร่วมประชุมใน 2 เวทีสำคัญ คือการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 อย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับการสร้างดุลยภาพใหม่ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยนายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้อาเซียนใช้ประโยชน์จากที่ตั้งที่ได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ ผลักดันและช่วยขับเคลื่อนแนวคิดอินโด-แปซิฟิกไปในทิศทางที่เป็นผลประโยชน์ ส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง สำหรับปัญหาความท้าทายในภูมิภาค อาทิ ทะเลจีนใต้ ไทยยืนยันสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีนในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะการเจรจาจัดทำ COC เพื่อปรับเปลี่ยนให้ทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีที่พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เชื่อว่าหากประสบผลสำเร็จ จะนำไปสู่การประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ และประเด็นสำคัญคือ การโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือขจัดอาวุธนิวเคลียร์

          ส่วนการประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ IMT-GT ครั้งที่ 11 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม โดยยินดีที่ปีนี้แผนงานความร่วมมือ IMT-GT ครบรอบการก่อตั้ง 25 ปี เป็นบทบาทสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ โดยวิสัยทัศน์ช่วงปี 2550-2559 คือการเป็นอนุภูมิภาคแห่งการบูรณาการ มีความก้าวหน้า และมีสันติภาพ”ภายใต้กรอบความร่วมมือ 6 สาขา ตาม 5 แนวระเบียงเศรษฐกิจ ทั้งนี้ โครงการด้านความเชื่อมโยงทางกายภาพในระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT ถือเป็นแกนกลางนำการพัฒนาภายใต้แผนระยะ 5 ปี ปี 2560-2564 ของการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ระยะยาวซึ่งไทยได้ผลักดันทุกมิติ โดยเฉพาะแนวระเบียงเศรษฐกิจระนอง-ภูเก็ต-ปีนัง-อาเจะห์ เพื่อเชื่อมโยงแผ่นดินสู่เกาะสุมาตรา แนวระเบียงเศรษฐกิจสงขลา-ปีนัง-เมดาน รวมถึงส่วนขยายไปยังปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส สร้างความเชื่อมโยงกับมาเลเซีย พร้อมเร่งรัดติดตามการก่อตั้งแนวระเบียงเศรษฐกิจที่หก ปรับจากพื้นที่ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส มาเชื่อมโยงโดยตรงกับเประและกลันตัน ตลอดจนโครงการที่จะดำเนินการในปี 2561

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การพัฒนาด้านนวัตกรรม การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบ เพื่อนำ IMT-GT สู่โลกอนาคตแห่งดิจิทัล และความเป็นอัจฉริยะ จำเป็นต้องปรับตัวให้รวดเร็ว ซึ่งไทยได้ใช้แนวทาง Thailand 4.0 ขับเคลื่อนด้วยความรู้ และนวัตกรรมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางกลับประเทศไทยทันที โดยเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เมื่อเวลา 17.20 น. ที่ผ่านมา

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก