ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

จ.อุตรดิตถ์ มอบผ้าห่มกันหนาวพระราชทาน

วันที่ลงข่าว: 22/01/18

          มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบผ้าห่มกันหนาวพระราชทาน แก่ราษฎรในเขตพื้นที่อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอฟากท่า และอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์

ที่หอประชุมอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสุมิตร เกิดกล่ำ รองประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานในพิธีมอบผ้าห่มพระราชทานในพระราชูปถัมถ์ ให้แก่ราษฎรกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กไร้ผู้อุปการะ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้มีรายได้น้อย และราษฎรผู้ประสบความเดือดร้อน ในพื้นที่อำเภอท่าปลา ที่ประสบภัยจากสภาวะอากาศหนาว และขาดแคนผ้าห่มกันหนาว จำนวน 500 ผืน พร้อมกันนี้ได้มอบให้กับนายอำเภอฟากท่า จำนวน 500 ผืน เพื่อนำไปมอบให้กับราษฎรที่ประสบภัยหนาวในพื้นที่อำเภอฟากท่าต่อไป ส่วนช่วงบ่ายได้เดินทางไปมอบผ้าห่มกันหนาวให้กับราษฎรในพื้นที่อำเภอน้ำปาด ณ หอประชุมอำเภอน้ำปาด จำนวน 500 ผืน พร้อมทั้งมอบให้กับนายอำเภอบ้านโคก จำนวน 500 ผืน นำไปแจกจ่ายราษฎรในพื้นที่อำเภอบ้านโคก

พร้อมกันนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสความห่วงใยจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ด้วยพระองค์ท่านได้รับทราบความเดือดร้อนจากอากาศหนาวในครั้งนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จังหวัดอุตรดิตถ์และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระราชูปถัมภ์ นำผ้าห่มกันหนาวพระราชทาน มามอบให้แก่คนบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของอากาศหนาวเย็น และมีขวัญกำลังใจในการต่อสู้ฝ่าฟันให้พ้นภัยครั้งนี้ไปได้ด้วยดี ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

          มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ก่อตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมพุทธศักราช 2506 จากเหตุการณ์มหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปีพุทธศักราช 2505 เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ในเบื้องต้น ส่วนการช่วยเหลือแบบยั่งยืนเป็นหน้าที่ของส่วนราชการตามกฎหมายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้ยึดถือพระราชดำริมาปฏิบัติเป็นเวลากว่า 54 ปี แล้วพวกเราทุกคนโชคดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง ดังนั้นสิ่งที่พวกเราควรพร้อมใจกันทำถวายพระองค์ได้ก็คือการเป็นคนดี คิดดี ทำดี เป็นประชาชนที่ดีของประเทศชาติต่อไป

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก