ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

นานมี สานต่อแนวคิดในหลวง รัชกาลที่ พลังความดีเพื่อพ่อต้นแบบฝึกฝนความพากเพียร

วันที่ลงข่าว: 27/06/17
        กลุ่มบริษัท นานมี จัดโครงการ “นานมีร่วมสร้างสรรค์ พลังความดีเพื่อพ่อ” ในรูปแบบกิจกรรมทำความดีต่างๆ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และเป็นอีกหนึ่งพลังในการสืบสานพระราชปณิธาน สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ดีและน่าอยู่ โดยได้คัดเลือกผู้เป็นแบบอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม ได้แก่ นายเรวัตร์ ต๋านะ แชมป์โลกวีลแชร์เรซซิ่ง, ร.ต.ต่วนอัมรัน กูโซะ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย อดีตพลทหารที่สูญเสียอวัยวะจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และ นายบุสรี วาเวนิ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักกีฬาวีลแชร์เทเบิลเทนนิส ดาวรุ่งทีมชาติ ซึ่งแม้ทั้งสามท่านเป็นผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่สามารถน้อมนำแนวคิดของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ กลุ่มบริษัท นานมีจึงให้การช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี โดยมอบรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ “ฟรีไรเดอร์” ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำความดีต่อไป
ปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ มอบรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ “ฟรีไรเดอร์” เรวัตร์ ต๋านะ, ร.ต.ต่วนอัมรัน กูโซะ และ บุสรี วาเวนิ
 
         นางปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท นานมี กล่าวว่า “รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นสัญลักษณ์การทำความดีและทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม กลุ่มบริษัท นานมีจึงอยากให้คนไทยนำแนวความคิดมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งดีๆ ซึ่งทางเราได้เห็นว่าบุคคลทั้งสาม แม้ว่าจะเป็นผู้พิการแต่ไม่เคยย่อท้อ ไม่นำความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นข้อด้อย กลับมุ่งมั่นทำความดี ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ มิใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อคนรอบข้าง สังคม และประเทศชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและถือเป็นแบบอย่างที่น่าภูมิใจ จึงอยากตอบแทนคนดีที่ทำดีให้รู้ว่าสังคมรับรู้ถึงการกระทำนั้นและร่วมภูมิใจไปกับการทำดีนั้น ด้วยการมอบฟรีไรเดอร์ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเคลื่อนที่ ช่วยสร้างความสะดวกสบายในการเคลื่อนไหวแก่คนดีทั้งสามเป็นการให้กำลังใจและทำให้คนดียิ้มได้”
        นายเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์ทีมชาติไทย ดีกรีแชมป์โลกเหรียญทอง ทำลายสถิติโลก ในการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งนานาชาติ ประเภท 5,000 เมตร กล่าวว่า “เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ผมเป็นเด็กมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 9และสมเด็จพระราชินีนาถ เมื่อครั้งพระองค์ท่านเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎรที่ดอยอ่างขางซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้น ผมเป็นเด็กดอยซึ่งมีความพิการได้รับความเมตตาให้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ รู้สึกเป็นบุญอย่างที่สุดในชีวิตและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เสมอมา ผมได้ยึดถือท่านเป็นแบบอย่างตั้งแต่นั้น ไม่เคยย่อท้อกับความพิการ เสมือนท่านได้ให้ชีวิตใหม่กับผม ทำให้มีแรงกายแรงใจที่จะทำความดี ทุกครั้งที่ผมไปแข่งในต่างประเทศ ผมมีท่านอยู่ในหัวใจเสมอ”
ร.ต.ต่วนอัมรัน กูโซะ
        ร.ต.ต่วนอัมรัน กูโซะเจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย เล่าว่า “ตลอดชีวิตผมเห็นรัชกาลที่ 9 ทรงงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่เด็กผมมุ่งมั่นอยากรับใช้ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เมื่อครั้งเป็นพลทหารประจำที่ 5 จ.ยะลา ก็ปฏิบัติภารกิจอย่างอดทนและเข้มแข็ง จนเมื่อต้องสูญเสียอวัยวะจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ในวันแห่งการสูญเสียนั้นกลับได้รับโอกาสและกำลังใจดีๆ มากมาย ตอนพักรักษาตัวนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมทหารผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ทรงรับสั่งให้กำลังใจและให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือจนได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิสายใจไทย ในแผนกเพ้นท์งานศิลปะบนเครื่องใช้ในครั้งแรกงานฝีมือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ จนผมท้อเลย แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสสอนไว้ว่าเมื่อมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไข ยิ่งมีความขยันเอาใจใส่ ซื่อสัตย์สุจริต ก็จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จ จนวันนี้ผมมีงานที่ดีทำ มีอาชีพมีรายได้แม้ไม่มากมาย แต่ก็ดำรงเลี้ยงชีพได้อย่างมีคุณภาพ โดยยึดหลักความพอเพียง ทำให้ชีวิตผู้พิการอย่างผมได้มีความสุขในชีวิต และวันนี้ได้รับฟรีไรเดอร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น อยากฝากถึงผู้พิการอื่นๆว่าแม้ร่างกายพิการแต่อย่านำมาเป็นข้ออ้างที่จะละเลยในการทำความดี เพราะท้ายสุดแล้วความดีจะตอบสนองผู้ที่ทำดีเสมอครับ”
        นายบุสรี วาเวนิ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักกีฬาวีลแชร์เทเบิลเทนนิสดาวรุ่งทีมชาติ กล่าวว่า “การทำความดีไม่จำเป็นต้องรอให้มีความพร้อม ทุกคนสามารถทำได้ทันที และเป็นเรื่องง่ายใกล้ๆ ตัว เช่น การทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ที่ผ่านมาผมเองเคยมีร่างกายที่เป็นปกติ แต่เมื่อวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียขาไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้ชีวิตผมต้องหยุดชะงัก เมื่อเรามีความมุ่งมั่นและมีความพากเพียรพยายามอย่างที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่าง ผมเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายและกลับมาเข้มแข็งมีแรงกายแรงใจที่จะสานต่อทำความดีเพื่อพระองค์ท่านได้ครับ”
ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์ วันที่ 26 มิถุนายน 2560
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก