ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

กรมการแพทย์เปิด “ศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดป่วยและพิการครบวงจร” พร้อมดูแลทารกป่วยให้รอดชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วันที่ลงข่าว: 05/06/17

        วันนี้ (2 มิถุนายน 2560) ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่ปีละ 700,000 คน เป็นทารกเกิดก่อนกำหนดประมาณ 100,000 คน ซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และทารกกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงและต้องใช้เครื่องมือในการรักษามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกเกิดก่อนกำหนดและทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด ซึ่งพบว่ามีอัตราการตายสูง จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าสาเหตุการตายในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันดับหนึ่งคือ ทารกแรกเกิด พบร้อยละ 72 โดยมีสาเหตุการตาย คือ ทารกเกิดก่อนกำหนด (ร้อยละ 37.5) และรองลงมา คือ ทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด (ร้อยละ 23.9) ทารกกลุ่มนี้จึงต้องการสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงและดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพต่างๆในการรักษา

 

        กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดตัว “ศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดป่วยและพิการครบวงจร” มีบทบาทหน้าที่ในการดูแลทารกป่วยและพิการในระดับประเทศ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาให้การดูแลรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทารกป่วยเหล่านี้ให้รอดชีวิต ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดป่วยและพิการครบวงจร เป็นหนึ่งในหลายผลงานที่เป็น Service Champion ของกรมการแพทย์ ที่พร้อมดูแลประชาชน

 

        นอกจากนี้ศูนย์ฯ ดังกล่าว ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นสถาบันฝึกอบรมให้แก่กุมารแพทย์ เพื่อให้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านต่างๆปีละกว่า 50 คน และพยาบาลวิกฤตด้านทารกแรกเกิดอีกปีละ 80 คน กระจายปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้เด็กไทยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

 

         นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ความพิการแต่กำเนิดเป็นปัญหาที่พบบ่อยโดยมีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 3 ของทารกเกิดมีชีพ โดยความผิดปกติของทารกแรกเกิดที่พบบ่อย 5 อันดับแรก ได้แก่ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะแขนขาพิการ ปากแหว่งเพดานโหว่ กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม และภาวะน้ำคั่งในสมองแต่กำเนิด ตามลำดับ ทั้งนี้ ความพิการแต่กำเนิดอาจทำให้เกิดความพิการตลอดชีวิต หรืออาจเสียชีวิตในระยะแรก ๆ หลังคลอด ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ บางครอบครัวไม่มีผู้ดูแล พ่อแม่ต้องหยุดทำงานเพื่อมาเลี้ยงลูกที่พิการ

 

        นับเป็นปัญหาสำคัญส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก ศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดป่วยและพิการครบวงจร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 ดูแลรักษาทารกแรกเกิดป่วยและพิการแบบองค์รวมภายใต้ศูนย์ความเป็นเลิศ 3 ศูนย์ ได้แก่ 1.ศูนย์ความเป็นเลิศด้านทารกแรกเกิด 2.ศูนย์ความเป็นเลิศโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และ 3.ศูนย์ความเป็นเลิศด้านศัลยกรรมทารกแรกเกิด โดยทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตา แพทย์ด้านโสต ศอ นาสิก ศัลยแพทย์ระบบประสาทและศัลยแพทย์กระดูกและข้อ เป็นต้น

 

        นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า ศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดป่วยและพิการครบวงจร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ประกอบด้วย 1.ศูนย์ความเป็นเลิศด้านทารกแรกเกิด ดูแลทารกแรกเกิดก่อนกำหนดและทารกแรกเกิดป่วยที่รับส่งต่อมารักษาจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงทารกป่วยจากทั้ง 12 เขตสุขภาพ ให้บริการทารกแรกเกิดวิกฤตปีละ 1,200 ราย โดยมีเตียงรองรับผู้ป่วยได้ 70 เตียง มีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น เครื่องช่วยหายใจความถี่สูง เครื่องให้ก๊าซไนตริกออกไซด์เพื่อรักษาภาวะความดันหลอดเลือดในปอดสูง และเครื่องลดอุณหภูมิกาย (cooling system) ใช้รักษาทารกที่มีภาวะขาดอากาศหายใจ อีกทั้งมีบุคลากรทั้งแพทย์และพยาบาลที่มีความรู้ความสามารถในการดูแลทารกป่วย

 

        2.ศูนย์ความเป็นเลิศโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด รักษาทารกแรกเกิดที่มีปัญหาหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ส่งต่อมาปีละ 4,500 ราย โดยมีห้องสวนหัวใจไฮบริด ที่ทันสมัยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ได้ทำการรักษาทารกโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดด้วยสายสวนโดยไม่ต้องทำการผ่าตัดเปิดหน้าอกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ปีละ 400 ราย จนถึงปัจจุบันรวมกว่า 3,000 ราย มีอัตรารอดชีวิตร้อยละ 99.86 กรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยการใส่สายสวนหัวใจ จะส่งผ่าตัดแก้ไขความพิการโดยกุมารศัลยแพทย์โรคหัวใจของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ปีละ 350 ราย และโรงพยาบาลราชวิถีปีละ 140 ราย

 

        3.ศูนย์ความเป็นเลิศด้านศัลยกรรมทารกแรกเกิด ดูแลทารกแรกเกิดที่มีปัญหาความพิการทางด้านศัลยกรรมที่ส่งต่อมารับการรักษาปีละ 1,000 ราย มีเตียงรองรับผู้ป่วย 38 เตียง โรคที่พบได้แก่ ถุงน้ำที่ผนังหน้าท้อง ทารกที่ไม่มีผนังหน้าท้อง ไส้เลื่อนกระบังลมแต่กำเนิด เป็นต้น

 

        นอกจากนี้ยังมีศูนย์ความชำนาญพิเศษ (COSE: Center of Special Expertise) อีก 6 ศูนย์ ได้แก่ ตา รับส่งต่อตรวจวินิจฉัย รักษาโรคจอประสาทตาในทารกเกิดก่อนกำหนด เป็นอันดับต้นของประเทศ รวมทั้งแก้ไขความพิการทางตา เช่น ตาเข เป็นต้น โสต ศอ นาสิก ตรวจวินิจฉัยและแก้ไขความพิการทางการได้ยิน ความพิการทางหูคอจมูกและทางเดินหายใจส่วนบน กระดูกและข้อ ผ่าตัดแก้ไขความพิการทางกระดูกและกล้ามเนื้อ กายภาพบำบัด กายอุปกรณ์ รักษาทารกที่มีความพิการในด้านต่างๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พัฒนาการเด็ก ส่งเสริมด้านพัฒนาการเด็กพิการให้ทัดเทียมสมวัยของทารก และ นมแม่ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกได้รับน้ำนมมารดาอย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่ลูกเจ็บป่วย

 

ที่มาของข่าว สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก