ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ผู้พิการ จ.อุดรธานี สุดปลื้ม หลังรับมอบขาเทียมพระราชทาน ขณะที่มูลนิธิขาเทียมฯ เผย มีผู้มารับบริการ 121 คน รวม 127 ขา ในจำนวนนี้มีผู้พิการทางขาจากอุบัติเหตุจราจรมากถึง 46 ราย

วันที่ลงข่าว: 22/05/17

          รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วัชระ รุจิเวชพงศธร เลขาธิการมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวถึงผลการออกหน่วยขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 142 ณ ศูนย์การค้า 168 แพลตินั่ม จังหวัดอุดรธานี ว่า การออกหน่วยครั้งนี้มีผู้พิการมารับบริการ รวมทั้งสิ้น 121 คน แบ่งเป็นชาย 97 คน หญิง 24 คน ทั้งนี้ผู้พิการที่มาขอรับบริการทั้งหมดมีความพิการที่เกิดจาก 5 สาเหตุ คือ ทางการแพทย์ 39 คน เหยียบกับระเบิดหรือภัยสงคราม 5 คน อุบัติเหตุจราจร 46 คน พิการแต่กำเนิด 3 คน และอื่นๆอีก 19 คน ซึ่งจากการประเมินของแพทย์พบว่า ผู้พิการมีสภาวะพร้อมทำขาเทียมได้ 108 คน มูลนิธิฯ จัดทำขาเทียมรวม 127 ขา แบ่งเป็นชายขาสวยงาม 114 ขา และขาเกษตร 13 ขา ส่วนสาเหตุของผู้พิการที่ไม่ได้ทำเพราะ ตอขาบวม แผลติดเชื้อ คนไข้สูงอายุที่มีโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต และคนไข้เป็นอัมพฤกษ์ ที่ต้องไปรักษาร่างกายให้มีความแข็งแรงมีความพร้อมในการใส่ขาเทียม โดยสามารถไปรับบริการทำขาเทียมได้ที่โรงพยาบาลกุมภวาปี หลังคนไข้มีความพร้อม และทางมูลนิธิจะสนับสนุนชิ้นส่วนและอุปกรณ์ทำขาเทียมโดยไม่คิดมูลค่า ภายในสิ้นปี 2560 นี้หรือสามารถติดต่อขอรับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง ซึ่งใช้เทคนิคและวัสดุอุปกรณ์ตามแบบของมูลนิธิ

          ด้านนายแพทย์สมิต ประสันนาการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทาน ครั้งที่ 142 ที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 2 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา โดยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ สำนักงานจังหวัดอุดรธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีโรงพยาบาลอุดรธานี มูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่าอุดรธานี บริษัท เอไอเอ จำกัด สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่ 18 อุดรธานี สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่ 19 เชียงใหม่ รวมถึงศูนย์การค้า 168 แพลตินั่ม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดอุดรธานี สนับสนุนและอำนวยความสะดวกตลอด 6 วันของการทำงานของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการทำขาเทียมพระราชทานในครั้งนี้

ที่มาของข่าว สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก