ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ คุมเข้มสายอาชีพนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการ เพื่อควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และยกระดับนวดไทย

วันที่ลงข่าว: 09/05/17

        นายแพทย์วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตามที่พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 27 กันยายน 2559 และมีการประกาศใช้กฎหมายลูกอีก 6 ฉบับ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ต้องขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง จึงจะสามารถประกอบอาชีพเป็นผู้ให้บริการฯได้ และผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ต้องรับผู้ให้บริการฯ ที่ได้รับใบรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพของผู้ให้บริการฯ ขจัดปัญหาสปา นวดไทยไม่มีมาตรฐาน พร้อมคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้รับบริการ ซึ่งผู้ให้บริการฯ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติฯ สามารถยื่นคำขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการฯ โดยในเขตกรุงเทพฯ ยื่นคำขอ ณ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ส่วนต่างจังหวัด ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ ในวันและเวลาราชการ หรือยื่นคำขอผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ www.spa.hss.moph.go.th ซึ่งทุกช่องทางไม่เสียค่าธรรมเนียม และใบรับรองใช้ได้ตลอดชีพ ทั้งนี้ ยื่นคำขอพร้อมเอกสารหลักฐาน ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

        ทั้งนี้ กลุ่มผู้ให้บริการฯ ที่ได้รับวุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ นอกจากหลักสูตรที่กรมฯให้การรับรอง สามารถนำหลักสูตรที่เรียนมาเทียบเคียงได้ หากผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด จะสามารถประกอบอาชีพเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้ โดยผู้ให้บริการฯกลุ่มดังกล่าวนั้น ต้องยื่นคำขอขึ้นทะเบียนฯ ภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ส่วนกรณีผู้พิการทางสายตาที่ประกอบอาชีพเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการอบรมหรือถ่ายทอดความรู้ตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก่อนวันที่ 27 กันยายน 2559 ให้ถือว่าเป็นวุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตรที่กรมฯ ให้การรับรอง สามารถยื่นลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2560 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 ต่อ 18106 และ 18226

ที่มาของข่าว สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก