ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 139 ประชาชนจากทั่วประเทศแต่งกายชุดสีดำสุภาพ และนักเรียนนิสิตนักศึกษามาต่อแถวรอกราบถวายสักการะไม่ขาดสาย โดยสำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรีให้ประชาชนเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. จากเปิดปกติเวลา 08.00 น.

         นายอำพร กัณหาบุตร ผู้บกพร่องทางสายตา นายกสมาคมคนพิการ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนำผู้พิการใน จ.ศรีสะเกษกว่า 100 คนมากราบพระบรมศพ กล่าวว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระเมตตาคอยดูแลช่วยเหลือคนพิการอย่างดีตลอดมา ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว การรักษาพยาบาล และให้คนพิการได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น รวมถึงเรื่องการประกอบอาชีพ เพื่อให้คนพิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งพวกเรารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และขอตอบแทนด้วยการเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ที่จะน้อมนำหลักคำสอนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาใช้

         ขณะที่ นางสมนึก ทัศสาลี อายุ 64 ปี ชาว ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก พร้อมกับลูกชาย หลานๆ และญาติ รวม 10 คน กล่าวว่า ในหลวง ร.9 ทรงดีกับประชาชนในทุกๆ อย่าง ทุกๆ ด้าน ทรงเป็นผู้นำที่ดีและทรงเป็นแบบอย่างของประชาชนทุกคน ทรงห่วงใยช่วยเหลือราษฎรที่ลำบาก ทำให้รู้สึกประทับใจมาก รวมถึงคำสอนของพระองค์ที่น้อมนำมาปฏิบัติ ก็ทำให้เราคิดดี ทำดี มีความซื่อสัตย์ รวมถึงจะทำความดีช่วยเหลือสังคม ซึ่งขณะนี้เป็นสมาชิกกลุ่มสตรีแม่บ้าน อสม.อยู่

         นางเทวี เกริกฤทธิ์วณิช อายุ 65 ปี ชาวกรุงเทพฯ เดินทางมาพร้อมเพื่อนๆ และได้กราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาประทับใจพระองค์มากในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมที่พระองค์ทรงช่วยแก้ไขทุกครั้ง ตลอดจนแก้ปัญหาน้ำกินน้ำใช้ของชาวนาชาวไร่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยส่วนตัวยังได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้กับตัวเองด้วย ที่เห็นชัดเจนคือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย