ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

กลุ่มผู้พิการทางสายตา-จิตอาสาเข้าถวายสักการะพระบรมศพ

วันที่ลงข่าว: 21/11/16

  ผู้พิการทางสายตาจำนวน 300 คนและจิตอาสา 100 คน รวม 400 คน จากสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ

        นายรัชตะ มงคล อุปนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดฯ กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสายตาด้วยความซาบซึ้งว่า โรงเรียนสอนคนตาบอดฯ จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเห็นคุณค่าของผู้พิการทางสายตา ที่สามารถมีศักยภาพในการเรียนหนังสือ มิใช่เพียงอยู่บ้านเฉยๆเท่านั้น เพราะเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสำเร็จการศึกษาก็จะสามารถดูแลตัวเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สร้างโรงเรียนคนตาบอดในกรุงเทพฯ ขึ้นมา

        นอกจากนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้พิการทางสายตาเรื่อยมาทุกปีจะทรงมีพระราชทานเลี้ยงอาหารอาจารย์ และนักเรียนผู้พิการทางสายตาที่พระราชวังพญาไท พร้อมทรงแซกโซโฟนพระราชทานแก่ทุกคน ที่สำคัญด้วยทรงต้องพระราชประสงค์อยากให้ผู้พิการทางสายตาทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตไม่ท้อถอยกับโชคชะตา พระองค์จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง "ยิ้มสู้" ขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้พิการทุกคนมีกำลังใจในชีวิตต่อไป

        นายรัชตะ กล่าวต่อว่า วันนี้ก็ถือเป็นอีกครั้งที่ผู้พิการทางสายตาทุกคนที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จะมาแสดงความกตัญญูแลร่วมถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะลูกที่ดีของพ่อ จากนี้ต่อไปถึงแม้จะไม่มีพ่ออยู่แล้ว แต่พวกเราทุกคนจะน้อมนำหลักคำสอน และพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป

        ด้าน น.ส.สุชัญญา วิศรุตไภศาล อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ และนายวุฒิชัย แซ่ลี้ อายุ 19 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ร่วมกันกล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้มากราบพระองค์ ตั้งแต่ตอนที่พวกตนยังเด็กก็ได้ทราบข่าวพระราชกรณียกิจต่างๆ จากข่าวพระราชสำนัก ทำให้ทราบว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก แม้ว่าพวกตนเป็นผู้พิการทางสายตา แต่พระองค์ก็ยังทรงนึกถึงและไม่ทอดทิ้ง พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เพลง "ยิ้มสู้" เพื่อให้กำลังใจคนตาบอดด้วย ยิ่งทำให้พวกตนรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

        ส่วน น.ส.พรรณี สงคราม อายุ 70 ปี หนึ่งในคณะกรรมการสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาถวายสักการะพระบรมศพ เพราะซาบซึ้งที่ในหลวง รัชกาล 9 เคยเสด็จฯไปทรงเปิดอาคารเรียนใหม่ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดงานเลี้ยงปีใหม่ในพระตำหนักพระตำหนักจิตรลดารโหฐานให้นักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ และทรงดนตรีให้ฟัง และทรงให้พระราชโอรสและพระราชธิดาแจกอาหารให้กับผู้พิการทางสายตาอย่างไม่ถือพระองค์ สร้างความปลื้มปีติเป็นอย่างมาก เพราะขนาดพระองค์ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่ก็ทรงเป็นห่วงและรักพวกเราไม่ต่างจากประชาชนคนอื่นๆ เป็นแรงบันดาลใจให้รู้จักช่วยตัวเอง มีมานะ ต้องให้กำลังใจตัวเองเป็นคนดีของสังคม

        ขณะที่ นายช่วง โพธิรัญ อายุ 68 ปี ผู้บกพร่องทางสายตา จากอ.นาเชือก จ.มหาสารคาม มาในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ กล่าวว่า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับคนพิการ โดยเฉพาะคนตาบอด เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2500 กว่า ได้เสด็จฯพร้อม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปพระราชทานเลี้ยงอาหารที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพช่วงปีใหม่ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มองและปฏิบัติต่อคนตาบอดเสมือนคนทั่วไป ทำให้ทุกวันนี้คนตาบอดหากมีศักยภาพและความสามารถก็มีโอกาสได้เหมือนคนทั่วไป ตั้งแต่เข้าไปเรียนได้ในสถาบันการศึกษาทั่วไป สามารถสอบชิงทุนไปเรียนสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศจนขณะนี้มีคนตาบอดเรียนจบปริญญาเอกเป็น ดร.ก็หลายคน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสทำงานประกอบอาชีพมากขึ้น อย่างตนที่ประกอบอาชีพหมอนวด 

 

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2559
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก