ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

กรมสุขภาพจิต ขอประชาชนช่วยกันปฐมพยาบาลทางใจคนใกล้ชิด เปิดกว้างแสดงความเสียใจอย่างมีสติ แปลงความเสียใจเป็นพลังสานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อให้สังคมไทยก้าวต่อไป

วันที่ลงข่าว: 18/10/16

นาวาอากาศตรีบุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่าให้ห่วงเวลาแห่งความโทมนัสของประชาชนชาวไทยนี้ คนไทยทุกคนต้องช่วยเหลือกันให้ผ่านความเสียใจนี้ไปให้ได้อย่างเข้มแข็ง และแปลงความเสียใจให้เป็นพลังที่จะสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ โดยการแสดงออกถึงความเสียใจเป็นเรื่องที่ควรทำเพราะเป็นหนึ่งในวิธีการเยียวยาบาดแผลในใจ แต่ต้องเป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เช่น การทำสมาธิถวายเป็นพระราชกุศล ประกอบกิจกรรมทางศาสนา หรือร่วมเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคม

ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศาสนติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่าการแสดงออกถึงความเสียใจสามารถทำได้ แต่มีข้อควรระวัง 3 ข้อ คือ 1.อย่าปล่อยให้ความเสียใจท่วมจนมองไม่เห็นความหวัง คือ 1.ทางออกของปัญหา 2.การแสดงออกต้องไม่เกินขอบเขต จนกระตุ้นความเห็นต่าง และ 3.ไม่ควรหาแพะรับบาปจากความผิดพลาด ควรทำใจเป็นธรรม ทำจิตให้เป็นกุศล มุ่งปฏิบัติดีต่อกัน สำหรับการดูแล เยียวยาสภาพจิตใจ ประชาชนทุกคนสามารถช่วยกันได้ ด้วยการปฐมพยาบาลทางใจ ด้วยหลัก 3L คือ Look มองหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน คือผู้ที่แสดงอาการเสียใจอย่างรุนแรง ร้องไห้ไม่หยุด เครียด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และกลุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจมากกว่าปกติ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรังทั้งทางกายและทางจิต รวมถึงผู้มีปัญหาชีวิตอยู่ก่อนหน้า Listen รับฟังอย่างมีสติ คือ แสดงท่าทีสงบและอบอุ่นในช่วงรับฟัง แสดงถึงความสนใจและใส่ใจ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาได้ระบาย แต่ให้ระวังอย่างแสดงความเห็นใจจนมีอารมณ์ร่วมไปกับผู้ประสบวิกฤต เช่น ร้องไห้ตามเป็นต้น และ L ที่ 3 คือ Link ช่วยเหลือแก้ปัญหาในส่วนที่ทำได้ แต่หากทำไม่ได้ให้ส่งต่อ โดยเฉพาะหากเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตสามารถโทรปรึกษาได้ทางสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชม.

นพ.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่าแม้การสูญเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เป็นความเศร้าอันใหญ่หลวงของมหาชน แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่จะได้แสดงความรู้สึกร่วมกันและสืบทอดพระราชปณิธานของพระองค์ เพื่อให้สังคมไทยได้ก้าวต่อไป

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก