ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

รัฐบาลดัน ขสมก.ซื้อรถเอ็นจีวี 489 คัน มูลค่า 3,389 ล้านบาท บริการทันสมัย

วันที่ลงข่าว: 03/10/16

 รัฐบาลหนุน ขสมก.ลงนามซื้อรถเอ็นจีวี 489 คัน มูลค่า 3,389 ล้านบาทสำเร็จในรอบ 14 ปี พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัยเพียบ บริการที่ทันสมัย ทั้งทางขึ้น-ลงคนพิการ GPS กล้องวงจรปิด 5 ตัว บริการอินเทอร์เน็ตฟรี กำชับกระทรวงคมนาคดูแลให้โปร่งใส เป็นไปตามแผนงาน

       

       พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สนับสนุนให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ลงนามในสัญญาจัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 3,389 ล้านบาทกับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ได้สำเร็จ หลังจากที่ค้างคามานานนับตั้งแต่ปี 2545 โดย ขสมก.จะนำเข้ารถโดยสารทั้งคัน และรับมอบรถทั้งหมดภายใน ธ.ค. 2559

       

       “ที่ผ่านมา ขสมก.ไม่สามารถจัดซื้อหรือเช่ารถโดยสารใหม่ได้ เพราะมีข้อครหาว่าราคาที่ฝ่ายการเมืองตั้งไว้สูงเกินจริง กระบวนการไม่โปร่งใส เช่น แผนจัดซื้อรถเมล์ 6 พันคัน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เมื่อปี 2548 เรื่อยมาถึงแผนเช่ารถเมล์ 4,000 คัน มูลค่า 69,000 ล้านบาท ในปี 2552 แต่วันนี้รัฐบาลนำมาดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ทุกคน เริ่มตั้งแต่ ม.ค. 2560 เป็นต้นไป”

       

       พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า การจัดซื้อรถใหม่ในครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยผู้พิการและผู้สูงอายุสามารถนำรถเข็นขึ้นลงรถได้ เพราะมีชานยื่นออกมารับเข้าสู่ตัวรถ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั้งภายในรถ ด้านหน้า และด้านหลัง รวม 5 ตัว มีระบบประตูอัตโนมัติที่จะไม่ปิดหากมีคนยืนขวางประตู เพื่อให้เกิดความปลอดภัย

       

       นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบ GPS ที่สามารถทราบตำแหน่งของรถ ความเร็วของรถ พฤติกรรมการขับขี่ โดยจะเชื่อมโยงกับป้ายรถเมล์อัจฉริยะ 20 จุดสำคัญใน กทม. เพื่อให้ประชาชนทราบว่ามีรถเมล์สายใดผ่าน และใช้เวลาเดินทางถึงแต่ละจุดภายในกี่นาที คาดว่าจะใช้งานได้ เม.ย. 2560 รวมทั้งจะมีบริการอินเทอร์เน็ตฟรี และเตรียมติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการใช้บริการร่วมกับขนส่งสาธารณะอื่นในอนาคต

       

       “ท่านนายกฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรง และยังจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนส่วนหนึ่งหันไปใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบาย พร้อมทั้งกำชับให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการทุกขั้นตอนให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุด และควบคุมให้แต่ละขั้นตอนเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ”

       

       

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 ตุลาคม 2559
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก