ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

จัดตั้งแล้ว เครือข่ายนักแนะแนวและสอนงานคนพิการไทย (Job Coach Thailand)

วันที่ลงข่าว: 13/05/16
กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) Workability Thailand วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือข่าย Job Coach Network Japan ได้ร่วมลงนามความร่วมมือสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายนักแนะแนวและสอนงานคนพิการไทย (Job Coach Thailand) (เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา) คาดว่าจะเป็นแนวทางบูรณาการด้านการสร้างงานให้แก่คนพิการยั่งยืน 
4 องค์กรพันธมิตร ร่วมลงนามในการสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่าย JOB Coach Thailand ณ โรงแรมวินด์เซอร์ สวีท แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
       สมชาย เจริญอำนวยสุข อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคน พิการ (พก.) กล่าวถึงความร่วมมือในการสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่าย JOB Coach Thailand ว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเล็งเห็นถึงความท้าทายและอุปสรรคในการบรรลุจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการทั้งในมิติของประสิทธิภาพ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพงานที่เหมาะสมสำหรับคนพิการ และมิติของความยั่งยืนในการรักษาคนพิการให้อยู่ในระบบการทำงาน ซึ่งต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยยังขาดระบบการสนับสนุนการจ้างงาน คนพิการที่มีความพร้อมและความสามารถในการบูรณาการเชื่อมโยง
       ดังนั้น ตัวเลขการจ้างงานคนพิการได้จริง (Actual Employment Rate) จึงต่ำกว่าอัตราการจ้างงาน คนพิการในสถานประกอบการตามที่กฎหมายกำหนดอย่างมาก คิดเป็นร้อยละ 35 จากอัตรากำหนดมาตรการ ส่งเสริมระบบสนับสนุนการจ้างงานคนพิการต่างๆ รวมทั้งการจัดตั้งเครือข่ายผู้มีความชำนาญในการแนะแนว วิเคราะห์งาน ตลอดจนจัดปรับแนวทางการจ้างที่เหมาะสมกับความพิการ จึงเป็นกลไกระยะยาวที่สำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นอัตราการจ้างงานคนพิการเข้าสู่สถานประกอบการและตลาดแรงงาน ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตคนพิการ ศักยภาพและความสามารถในการดำเนินชีวิตในสังคมได้เทียบเคียงประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในประเทศอเมริกาและ ญี่ปุ่นที่มีกลไกดังกล่าวมากว่า 30 ปี
       ทางกรมฯ รุกหน้าศึกษาแนวทางการส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรมของการจัดตั้งระบบ ดังกล่าวในประเทศไทย ตลอดจนมุ่งสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริหารกรม ตลอดจนหน่วยงานสำคัญภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความตระหนัก เชื่อมโยงความร่วมมือของผู้ปฏิบัติ และรับฟังทิศทางสู่การกำหนดนโยบายในอนาคต 
ด้าน สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ประธาน Workability Thailand กล่าวว่า การริเริ่มจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Job Coach Thailand ถือว่าเป็นกลไกบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และคนพิการในการพัฒนาระบบนิเวศในการสร้างยกระดับงานที่มีคุณค่า (Decent Work) และยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของคนพิการให้ดีขึ้น
       ขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์ ดร.ทวี เชื้อสุวรรณทวี คณบดีวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า Job Coach Thailand นั้นจะเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ มาตรฐานและความชำนาญวิชาชีพ โดยตั้งเป้าสร้าง หลักสูตรและระบบการประเมินมาตรฐานวิชาชีพร่วมกับ Job Coach Network Japan ซึ่งภายในปีนี้หวังเป็นอย่าง ยิ่งว่าการพัฒนาสายอาชีพนักแนะแนวและสอนงานคนพิการ (Job Coach) จะเป็นที่ต้องการทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์คนพิการ ที่ต้องการบุคคลากรที่มีทักษะความชำนาญในการพัฒนาบริหารจัดการด้านคนพิการที่เป็นองค์รวม (Disable Management) โดยผูกโยงองค์ความรู้ทั้งในมิติของคนพิการและสถานประกอบการ
       ในโอกาสนี้ ประธาน Job Coach Network ประเทศญี่ปุ่น, Hiroshi Ogawa, Prof. ร่วมแสดงความยินดีในกาขับเคลื่อนระบบ Job Coach ในประเทศไทย พร้อมให้ความเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมระบบสนับสนุนการจ้างงาน ควบคู่กับ ระบบโควตาการจ้างงานคนพิการตามอัตรากำหนด ว่าจากประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนร่วมกับภาครัฐ-เอกชน-คนพิการในประเทศญี่ปุ่นมาถ่ายทอดสู่เอเชีย เราได้บุกเบิกตั้งระบบ National Job Coach อย่างเป็นทางการในปี 2545 ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมกว่า 10,000 คน และผ่านการรับรองอยู่ภายใต้การสนับสนุนตำแหน่งวิชาชีพ Job Coach แห่งชาติกว่า 1,000 คนทั่วประเทศ
       ประเทศญี่ปุ่นส่งเสริมและเผยแพร่องค์ความรู้ด้าน Job Coach สู่ประเทศในภูมิภาคเอกเชีย และได้ช่วยสนับสนุนการจัดตั้งในประเทศมาเลเซียในปี 2015 ที่ผ่านมา โดยย้ำถึง 3 ประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างระบบการจ้างคนพิการอย่างยั่งยืน ได้แก่1) กฎหมาย - ที่มุ่งเน้นการส่งเสริม สนับสนุนควบคู่บทลงโทษ 2) กลยุทธ์- ระบบและเครื่องมือสนับสนุนการจ้างงานคนพิการที่สามารถเข้าถึงและ เพียงพอ 3) ความร่วมมือกับสถานประกอบการ - กลไกในการทำงานร่วมในรูปแบบภาคีพันธมิตรกับกลุ่มนายจ้าง
       "ที่ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบกฎหมายใกล้เคียงประเทศไทย ปัจจุบัน มีจำนวนคนพิการที่ได้รับการจ้างจากบริษัทที่มีพนักงานเกินกว่า 5 คน ถึง 630,000 คน มีโควตาอัตราการจ้างคนพิการที่ร้อยละ 1.8 โดยปฏิบัติได้จริงถึงร้อยละ 1.63 คน ต่อพนักงาน 100 คน" 
 
ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 11 พฤษภาคม 2559
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก