ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

พพ. พร้อมสนับสนุนอาชีวะศึกษา ร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน

วันที่ลงข่าว: 18/02/16

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พร้อมสนับสนุนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมให้ลดการใช้พลังงานในประเทศ

นายธรรมยศ ศรีช่วย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า การประกวดสุดยอดสิ่งประดิษฐ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือ Young Creative Energy Awards ภายใต้โครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) บูรณาการระบบพัฒนาบุคลากรอาชีวศึกษาผ่านหลักสูตรการจัดการพลังงาน โดยการให้คำปรึกษาและแนะนำมาตรการประหยัดพลังงานให้แก่สถานศึกษาและสถานประกอบการกว่า 1,500 แห่ง เกิดมาตรการประหยัดพลังงานไปแล้วสูงถึง 4,000 มาตรการ และเกิดผลประหยัดจากการปฏิบัติหน้าที่ของทีมเทคนิคดังกล่าวเป็นมูลค่าถึง 136 ล้านบาท และเพื่อให้เกิดการต่อยอดการประหยัดพลังงานมากขึ้น พพ. จึงจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานขึ้น โดยปัจจุบันมีโครงงานจากทุกภูมิภาคเข้าร่วมทั้งสิ้น 182 โครงงาน และได้ผ่านการพิจารณาให้การสนับสนุนจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 138 โครงงาน จากสถานศึกษา 86 แห่ง มีทุนสนับสนุนโครงการจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีผลงานโดดเด่นผ่านการคัดเลือกให้เข้าสู่การประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษาสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ระดับภาค จำนวน 49 โครงงาน และได้ผ่านสู่การประกวดระดับชาติ 10 โครงงาน ได้แก่ โครงงานไฟฟ้าจากพลังงานแม่เหล็ก จากวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย โครงงานโคมไฟทางเดินแอลอีดีพลังงานแสงอาทิตย์ปรับความสว่างอัตโนมัติ จากวิทยาการอาชีพเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โครงงานท่อผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ จากวิทยาลัยการอาชีพอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โครงการเตารีดประหยัดไฟฟ้าจากวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร จังหวัดสกลนคร เป็นต้น

สำหรับสิ่งประดิษฐ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ได้จากโครงการนี้ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เชื่อว่า ในอนาคตจะนำไปทดแทนหรือลดการนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพงและต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เป็นมูลค่าสูง และจากการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยี ยังทำให้ในอนาคตไทยจะไม่เสียเปรียบด้านการแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและในเวทีสากลระดับนานาชาติต่อไป

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก