ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ปลุกเสียงเงียบ!! สู่สังคมเสมอภาค

วันที่ลงข่าว: 07/01/16

เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วห้อง สื่อนัยกระตุกให้สังคมตื่น เพื่อหันมามองปัญหาร่วมกัน ในงานเสวนาปลุกเสียงเงียบ ทลายความคิด สู่สังคมเสมอภาค กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ และมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม จัดขึ้น เพื่อที่จะรับรู้ปัญหา ปลุกปัญญา ปลุกความคิด และก้าวข้ามไปสู่การเปิดใจ เพื่อเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาด้วยความเข้าใจ นำไปสู่การลดความรุนแรงในสังคมในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของความเสมอภาคระหว่างเพศ ตลอดจนการถูกเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสังคม

 

    น้องแก้ม (นามสมมุติ) พริตตี้สาวที่ถูกละเมิดสิทธิ์ จากผู้ว่าจ้างที่รับงาน จนถึงขณะนี้เธอระบุว่า ไม่ได้มีความคืบหน้าทางคดีภายหลังได้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องเปลี่ยนพนักงานสอบสวนมาแล้วถึง 3 คน เนื่องจากคู่กรณีเป็นผู้มีอิทธิพล

 

“หนูทั้งหวาดกลัว วิตกกังวล ฝันร้ายตลอด เราอยากหาที่พึ่ง อยากให้คนทำผิดได้รับโทษ เราเดือดร้อนจึงไปหาตำรวจ แต่ทุกครั้งที่ไปสอบถามความคืบหน้าคดี เขาก็บ่ายเบี่ยง พูดว่าเราต้องการอะไรอีก แค่นี้ยังไม่พออีก มันเจ็บปวดที่ไปทุกครั้งก็ต้องเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ หนูอยากเรียกร้องสิทธิ์อยากได้ความเป็นธรรมเรียกร้องความยุติธรรมให้ถูกต้อง เราทุกคนมีศักดิ์ศรีและศักดิ์ศรีของความเป็นคนก็ควรเท่าเทียมกัน”

 

 

ขณะที่ น.ส.อาภาณี มิตรทอง ตัวแทนกลุ่มผู้พิการที่ถูกเลือกปฏิบัติ บอกว่า คนพิการ ความเชื่อที่คนในสังคมเชื่อคือ ทำเวรกรรมา ทำบาปมาจากชาติที่แล้ว นี้เป็นความเชื่อความคิด ที่ทำให้การพัฒนาคนเท่ากันมันถูกลดทอนไป เป็นเรื่องเวรกรรมเข้ามาทำให้ต้องได้รับการสงเคราะห์ โดยไม่ได้มองว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่โดนอคติทางเพศซ้ำอีก ทั้งอ่อนแอ ไร้ค่า ไม่ต้องพัฒนา

 

“ผู้หญิงพิการโดนอคติกรอบทางเพศอีกกรอบ จับเด็กหญิงทำหมัน เด็กถูกละเมิดสิทธิ์ทางเพศ สิ่งที่สังคมทำคือจับทำหมัน ไม่ได้มองคนให้เป็นคน และต้องคิดว่าทำอย่างไรให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย ผู้หญิงพิการได้เรียนหนังสือน้อย ว่างงาน มากกว่าผู้ชายพิการ และที่สำคัญเหมือนหลงลืมที่จะสร้างนโยบายพิการเพื่อผู้หญิงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราไม่เห็น”

 

อาภาณี ตั้งคำถามที่สะเทือนใจด้วยว่า ผู้หญิงพิการไม่มีมดลูกเหรอคะ เราก็มีความรู้สึกรัก และความเป็นแม่ เหมือนผู้หญิงร่างกายปกติ อยากเป็นภรรยา มีครอบครัว มีความเป็นมนุษย์ แต่สังคมของเรามองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ หลงลืม คิดแค่เรื่องเพศในกลุ่มผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา มีความคิดสำหรับคนพิการ คือ คิดแทนทำให้ทั้งรัฐ และสังคม คิดว่าคนพิการไม่มีความคิด ไม่สามารถพัฒนาได้ คิดนโยบายลบต่อการสร้างพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ”

 

เช่นเดียวกับ ความเจ็บปวดของ น.ส.แน่งน้อย แซ่เซ็ง ที่ถูกมองไม่เห็นค่าของความเป็นคนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะบ่อยครั้ง ที่เธอจะถูกมองหรือ ตั้งคำถาม เพียงแค่ เธอเป็นผู้หญิงชาติพันธุ์ หรือ เพียงแค่เธอสวมชุดชาวเผ่าม้ง

 

“อาบน้ำมั้ย เราจะถูกถามอย่างนี้ตลอด เราไปโรงพยาบาลป่วยจะตายอยู่แล้ว ยังมาถามให้เราป่วยใจอีก ฉันเป็น จีน-ม้ง ฉันมีหางเหรอ ถึงมาเรียกฉันว่าเป็นตัวๆ เวลาขึ้นรถแต่งชุดชนเผ่า ก็ถูกตวาด โดยเฉพาะไปในสถานที่ราชการ ชนเผ่าจบ ดร.ก็มี พูดไทยก็ได้ แล้วคุณพูดภาษาของฉันเป็นหรือเปล่า” แน่งน้อย ตัวแทนของการถูกเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงชาติพันธุ์ ระบายด้วยความอัดอั้น ต่อสิ่งที่เธอเจอ

 

 

ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาใหญ่ในสังคม ที่สำคัญที่ไม่สามารถที่จะละเลยได้ นั่นคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับการปฏิบัติที่ติดเชื้อเอชไอวี เช่น ที่บ้านโฮมฮัก เหตุการณ์ที่ถูกกระทำ มาถึงจุดที่ “แม่ติ๋ว” แห่งบ้านเยาวชนมูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน (บ้านโฮมฮัก) ซี่งขณะนี้ต้องหอบเด็กๆ มาบวชเพื่ออาศัยร่มศาสนาเป็นที่พึ่ง จากการถูกเลือกปฏิบัติของคนในสังคม 

 

    “กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ปกป้องเด็กๆ ทุกคนทำเหมือนเราเป็นลูกฟุตบอลโยนกันไปมา สังคมอาจไม่ยอมรับแต่มองเราด้วยสายตาธรรมดาได้หรือไม่ ขนาดว่ามีคนแอบไปถ่ายรูป ว่าอยู่บ้านโฮมฮัก เพื่อให้เอาเด็กออกจากโรงเรียน เราอยู่กับการทำงานเด็กติดเชื้อเอชไอวีมา 30 ปี แต่ไม่ได้ติดโรคร้าย แต่ตอนนี้มันติดโรคร้ายจากหัวใจคนในสังคมทั้งสิ้น เราเรียกร้องกันสารพัดแต่ไม่เคยโอบกอดเด็ก ให้สิทธิ์กับเด็กๆ พวกนี้เลยเขาทำอะไรผิดถึงทิ้งเขา ที่สำคัญเอชไอวีไม่มีนโยบายในประเทศเพื่อที่จะทำงานกัน ดูแลกัน เพราะถ้าเปิดมากมันกระทบการท่องเที่ยว เขาคิดแค่นี้” 

 

 

  ขณะที่ เพ็ญศรี พี่งโคกสูง ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ระบุว่า ส่วนใหญ่ปัญหาที่เข้ามารับคำปรึกษาและช่วยเหลือคือ กลุ่มผู้หญิงที่ถูกทำร้าย ถูกคุกคามทางเพศจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ผู้มีอิทธิพล และการถูกเลือกปฏิบัติ เพราะสังคมยังมีความคิดอคติทำให้มีการคุกคามทางเพศจำนวนมาก มูลนิธิ ต้องการให้เกิดการแก้ปัญหาทียั่งยืน ยิ่งไทยเข้าสู่อาเซียนกฎหมายยิ่งสำคัญ รัฐและเอกชนต้องดูแล คุ้มครองพิทักษ์สิทธิ์ ให้กลไกทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

    ทั้งนี้ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 เป็นกฎหมายใหม่ ที่ยังประโยชน์ ที่เป็นเครื่องมือในการคุ้มครองสิทธิ์ เป็นกฎหมายที่ถูกผลักดันให้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกละเมิดสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อให้เกิดความตระหนักในเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศและวิธีการปฏิบัติต่างๆ...ต่อไปนี้อย่าปล่อยให้ผู้ถูกกระทำถูกทำให้เงียบอีกต่อไป!

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์บ้านเมืองออนไลน์ วันที่ 3 มกราคม 2559
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก

Fatal error: Call to undefined function drupal_get_path() in /usr/local/www/apache22/data/Braille-new/sites/all/modules/better_statistics/better_statistics.module on line 181