ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ผู้ว่าฯ ระนอง สั่งทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจและเด็กออทิสติกที่หาเลี้ยงแม่

วันที่ลงข่าว: 18/12/15

วันนี้ (17 ธ.ค.58) หลังจากได้รับทราบจากสื่อเรื่องการร้องขอความช่วยเหลือคนเป็นโรคหัวใจ และเด็กออทิสติกที่เลี้ยงดูมารดา นายสุริยันต์ กาญจนศิลป์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ได้สั่งการให้ นายธนิต กุลสุนทร นายอำเภอเมืองระนอง และเหล่ากาชาดจังหวัดระนอง นำโดย นางนัฎชนก กุลสุนทร รองนายกเหล่ากาชาด หน่วยงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แพทย์ พยาบาลจากโรงพยาบาลระนอง ลงพื้นที่ไปเยี่ยมนางยุวดี เทียมวรรณ อายุ 33 ปี ที่บ้านเลขที่ 16/4 หมู่ที่ 2 ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจนอนพักรักษาตัวอยู่กับบ้าน โดยเหล่ากาชาดจังหวัดระนองได้มอบเงิน 3,000 บาท และถุงยังชีพ และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระนอง มอบเงินจำนวน 2,000 บาท ช่วยเหลือเป็นการเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตามจะได้บูรณาการช่วยเหลือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการดูแลกลุ่มคนพิการและผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้านนางยุวดี เทียมวรรณ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานภาครัฐได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือตนเนื่องจากตนได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ ทำงานไม่ไหวต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ทั้งที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัวเลี้ยงบิดามารดา ซึ่งตอนนี้ตนเองป่วยทำงานไม่ได้ต้องเป็นภาระบิดามารดา คอยดูแลตนเอง ซึ่งบิดามารดา ก็อายุมากแล้วและไม่มีอาชีพ ทำให้ครอบครัวได้รับเดือดร้อน

บ่ายวันเดียวกัน นายประสิทธิ์ อมตาริยกุล นายอำเภอกระบุรี พร้อมด้วยนางนัฎชนก กุลสุนทร รองนายกเหล่ากาชาดและคณะเหล่ากาชาดจังหวัดระนองได้เดินทางไปที่ บ้านเลขที่ 60 หมู่ที่ 5 ตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี เพื่อเยี่ยมนายสบาย หนุ่มออทิสติกยอดกตัญญู ซึ่งมีอาชีพรับจ้างลอกใบจากแห้งเพื่อนำมามัดห่อยาสูบ ได้ค่าจ้างวันละ 60-80 บาท และนำเงินที่ได้จากการรับจ้างมาซื้ออาหารเลี้ยงดูมารดาอายุ 88 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคชรา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้องนอนอยู่กับที่ โดยเหล่ากาชาดจังหวัดระนอง ได้มอบเงินจำนวน 3,000 บาท และถุงยังชีพและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระนองมอบเงินจำนวน 2,000 บาท อบต.ตำบลน้ำจืดน้อย อำเภอกระบุรี จังหวัดระนองได้มอบสิ่งของสำหรับใช้อุปโภคและบริโภคจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการเยียวยาเบื้องต้นก่อนที่จะวางแผนช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก