ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

สุดยอดโค้ชบอลตาบอด! ครอบครัว “กิ้มเฉี้ยง” สานฝันลูกชายที่ต้องตกอยู่ในโลกมืดทำหน้าที่โค้ชนำทีมบอลที่ตรังชนะรวด

วันที่ลงข่าว: 08/12/15
 ตรัง - สุดยอดครอบครัว “กิ้มเฉี้ยง” ช่วยเข็นลูกชายซึ่งประสบอุบัติเหตุจนพิการสายตาบอดสนิท มาเป็นโค้ชฟุตบอล โดยมีพ่อคอยบอกลีลานักเตะ และแม่คอยบรรยายรูปแบบการเล่น จนสามารถนำทีมไปคว้าชัยชนะการแข่งขันทั้งในจังหวัดตรัง และต่างจังหวัด
       
       วันนี้ (7 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนามกีฬากลางเทศบาลนครตรัง ได้จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลงานเฉลิมพระชนมพรรษา ประจำปี 2558 ซึ่งเป็นฟุตบอลประเพณีของจังหวัดตรัง โดยปีนี้มีการแข่งขันมาตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.58 และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 14 ธ.ค.58 แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ รุ่นอาวุโสชาย จำนวน 24 ทีม และรุ่นประชาชนทั่วไปชาย จำนวน 24 ทีม เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 500,000 บาท และถ้วยรางวัลเกียรติยศ โดยมีนักฟุตบอลระดับถ้วย ก. และผู้เล่นในลีกอันดับ 1 ของประเทศร่วมลงแข่งขันจำนวนหลายคน ทำให้แต่ละนัดจะมีแฟนบอลเข้าชม และเชียร์ทีมขวัญใจของตนเองเป็นจำนวนมาก
       
       ทีมกิ้มเฉี้ยง ถือเป็น 1 ในทีมที่ส่งเข้าทำการแข่งขันในครั้งนี้ โดยมี “โค้ชบอล” หรือ นายธนชัย กิ้มเฉี้ยง อายุ 30 ปี ซึ่งพิการทางสายตาบอดทั้ง 2 ข้าง (แต่ตาไม่ปิด) ซึ่งหากไม่สังเกตจะไม่ทราบว่าเขาได้พิการทางสายตา หรือตาบอดสนิท รับหน้าที่ผู้ฝึกสอนทีม โดยมีผู้เป็นพ่อคือ นายสมพร กิ้มเฉี้ยง อายุ 52 ปี เป็นผู้ที่คอยศึกษาเกมการเล่นของนักเตะ จากนั้นจะสรุปการเล่นของทีมให้ลูกชายทราบ เพื่อให้แก้เกมการเล่น นอกจากนั้น ผู้เป็นแม่คือ นางอมรพรรณ กิ้มเฉี้ยง อายุ 50 ปี ก็จะนั่งประกบลูกชายอยู่ไม่ห่างเพื่อคอยบรรยายการเล่นของลูกทีม และคู่แข่งในสนามให้โค้ชบอลได้รับทราบอยู่ตลอดเวลา
         
   โค้ชฟุตบอลคนเดียวที่พิการทางสายตา
   
       โค้ชบอล กล่าวว่า ทุกนัดที่นำทีมฟุตบอลลงทำการแข่งขัน ตนจะรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน โดยมีคุณพ่อคอยบอกรูปแบบการเล่นของทีม และนำมาปรึกษาว่าควรจะเล่นในรูปแบบใด พร้อมทั้งจะต้องคอยถามส่วนสูงของนักเตะแต่ละคนว่า ถนัดเท้าซ้ายหรือขวา ชอบเล่นบอลรุกหรือรับ เพื่อให้ตนนำมาวิเคราะห์รูปแบบเกม ถึงแม้ขณะนี้ตนเองจะมองไม่เห็น แต่ในช่วงที่สายตาดีเคยเล่นและชมการฟุตบอลมามากพอมีประสบการณ์ในส่วนนี้ ขณะที่คุณแม่จะช่วยบรรยายเกมการเล่นในสนามให้ฟัง ซึ่งยอมรับว่าลำบากมากต่อการเป็นโค้ชฟุตบอล เพราะมองไม่เห็นการแข่งขัน แต่ก็ประสบความสำเร็จในการทำทีมมาโดยตลอด
       
       ขณะที่ นายสมพร ผู้เป็นพ่อกล่าวว่า เนื่องจากครอบครัวของตนเองชอบกีฬาฟุตบอลกันหมด และเดิมทีตั้งใจจะให้ลูกชายเข้าสู่ฟุตบอลอาชีพ แต่ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน แต่ด้วยความตั้งใจของลูกชายที่ตั้งใจจะไปให้ถึงที่ฝัน ตนจึงให้ผันตัวเองมาเป็นโค้ช ซึ่งแรกๆ ลูกชายก็รับไม่ได้ต่อสภาพของร่างกายที่พิการทางสายตา คือ บอดสนิท แต่กำลังใจจากทุกคนในครอบครัวก็ทำให้ลูกชายต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค จนสามารถนำทีมไปคว้าชัยชนะการแข่งขันทั้งในจังหวัด และต่างจังหวัด เพราะน่าจะเป็นโค้ชฟุตบอลคนเดียวที่พิการทางสายตา แต่กลับเอาชนะทีมคู่แข่งที่มีโค้ชสายตาปกติได้มามากแล้ว
 
ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 7 ธันวาคม 2558
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก