ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

'อุปกรณ์ช่วยผู้พิการทางสายตา'คว้ารางวัลสุดยอด SIA

วันที่ลงข่าว: 11/11/15

นวัตกรรมสุดล้ำระดับประเทศ "อุปกรณ์สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น" หรือ Visionear คว้ารางวัลสุดยอด SIA โครงการ "เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี 2015" ตอบโจทย์การนำแนวคิดด้านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นจริง ที่สำคัญสามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการให้ดีขึ้น ปีหน้าจัดหนัก "สามารถ-สวทช." จับมือจัด "เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยีปี 5" สร้าง "นักธุรกิจด้านเทคโนโลยี ทำเงิน ตัวจริง" ต่อเนื่อง พร้อม กำหนดโจทย์เพื่อค้นหาสุดยอดเทคโนโลยีที่เข้ากับยุคดิจิตอล และความต้องการนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า "เป็นที่น่ายินดีที่ผลงานของโครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยีในปีนี้ เกี่ยวข้องกับสังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการอนุรักษ์พลังงาน ที่เหล่านักคิดนักพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ นำมาต่อยอด เป็น "ธุรกิจ ทำเงิน ตัวจริง" ได้ จนในที่สุดได้ทีมชนะเลิศเป็น "สุดยอด นักคิด นักพัฒนานวัตกรรมต้นแบบ" หรือรางวัล Samart Innovation Award 2015 พร้อมรับเงินรางวัล 200,000 บาทจากกลุ่มบริษัทสามารถ ได้แก่ ผลงาน "อุปกรณ์ช่วยผู้พิการทางสายตา" หรือ Visionear เทคโนโลยีที่มีกล้อง เก็บภาพ และแยกแยะสิ่งของ เช่น ธนบัตร ตรวจสอบสี และแสงไฟ

 

โดยจะประมวลผลจากภาพเป็นเสียงให้ผู้ใช้งานฟัง มีขนาดเล็ก รองรับการใช้งานได้หลายภาษา รองชนะเลิศมี 2 รางวัล ได้แก่ PiMO ระบบควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ที่ใช้ควบคุมและตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น และ ผลงาน GET KASET พื้นที่ออนไลน์สำหรับการซื้อขายสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกร...โดยทั้ง 3 ทีมจะได้โอกาสไปดูงานที่ประเทศไต้หวัน อีกทั้งโครงการฯ ยังมอบ "ทุนเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี" สำหรับเริ่มต้นธุรกิจ หรือ Business Start up Funds จำนวน 21 ทุน ทุนละ 20,000 บาท ให้กับทีมที่มีความตั้งใจและมีผลงานที่มีโอกาสนำไปต่อยอดได้

 

ปีหน้านับเป็นปีสำคัญของ "กลุ่มบริษัทสามารถ" ที่จะก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 7 บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนทุกความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อก้าวให้ทันกับยุคดิจิตอลและความต้องการนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเทรนด์เทคโนโลยี 4 ด้านที่นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน มาเป็นหัวข้อประเภทการประกวด ได้แก่ 1.เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและเพื่อผู้สูงอายุ 2.เทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม 3.เทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์และการขนส่ง และ 4.เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย บริษัทฯ หวังว่าโครงการ "เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี" หรือ "Samart Innovation Award" จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อน อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีในประเทศให้ก้าวไกล สามารถแข่งขันกับ ประชาคมโลก สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศต่อไป

 

นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยีได้ดำเนินมา 4 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ปี 2555-2558 มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่แล้ว กว่า 400 ทีม มีจำนวน 270 ทีม หรือประมาณ 630 คน ได้ร่วมอบรมความรู้ด้านพื้นฐานธุรกิจเพื่อพัฒนาฐานความรู้สำคัญในการนำเทคโนโลยีออกสู่ตลาด เกิดการจัดตั้งธุรกิจจำนวนกว่า 20 ราย โดยสร้างรายได้รวมประมาณ 21 ล้านบาท และมีอัตราการจ้างงานกว่า 40 อัตรา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นที่น่ายินดีกับโครงการฯ ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ของประเทศไทยในอนาคต

 

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริม อุตสาหกรรม กล่าวว่า ตลอด 13 ปีของโครงการ Samart Innovation Award จนมาถึงการสนับสนุนโครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมถึง 2,000 ชิ้น หรือกว่า 6,400 คน ได้รับรางวัลไปแล้ว 149 รางวัล มีการสนับสนุนทุนวิจัย Samart Innovation Funds และทุนสำหรับ เริ่มต้นธุรกิจ Business Start up Funds แก่นักศึกษารวมกว่า 110 ทุน มีผู้เข้าอบรมในแคมป์ให้ความรู้กว่า 1,100 คน

 

ในปีหน้าโครงการฯ ยังมีหลักสูตรอบรมที่เข้มข้นต่อเนื่อง สอดรับกับเทรนด์ เทคโนโลยีและหัวข้อการประกวด โดยนำผลที่ได้จากโครงการฯ ทั้ง 4 รุ่น มาปรับปรุงเนื้อหากิจกรรมให้เหมาะกับนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่มากขึ้น โดยยังคง ให้ความสำคัญกับ การนำแนวคิดสู่ธุรกิจทำเงินต่อไป ทั้งนี้จากความสำเร็จในปีนี้ทำให้มั่นใจว่าหากน้องๆ มีการเตรียมความพร้อม ทั้งการมีนวัตกรรมที่ น่าสนใจ มีการศึกษาความต้องการตลาด ต่อยอดจนเกิดแนวคิดธุรกิจที่ใช่ บวกกับมีความตั้งใจ โครงการฯ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเร่งการเติบโต ทางธุรกิจเทคโนโลยีให้รวดเร็วขึ้น โครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี 2016 เปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559

 

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์บ้านเมืองออนไลน์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก