ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

“น้องน้ำเย็น” สุดปลื้มธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยเหลือ เผยอยากได้จักรยานไว้ปั่นไปโรงเรียน

วันที่ลงข่าว: 14/09/15

  ตรัง - ธารน้ำใจหลั่งไหลแห่ช่วยเหลือ “น้องน้ำเย็น” เด็ก ป.5 ยอดกตัญญู เพื่อนำไปช่วยดูแลรักษาแม่พิการ เจ้าตัวเผยอยากได้จักรยานไว้ปั่นไปกลับบ้าน-โรงเรียน แทนที่จะต้องโบกรถเหมือนแต่ก่อน

       

       วันนี้ (11 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ ด.ญ.กฤษณา กาหลำ หรือน้องน้ำเย็น อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านแหลมมะขาม ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง ได้ใช้เวลาว่างหลังพักเที่ยงโบกรถยนต์ที่ขับผ่านถนนหน้าโรงเรียน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อกลับไปป้อนข้าวป้อนน้ำให้แก่ นางอรอุมา รัญวาศรี อายุ 35 ปี มารดา

       

       ซึ่งล้มป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง และเนื้องอกใกล้ลิ้นหัวใจ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ซีกขวา ไม่สามารถพูด หรือขยับร่างกายซีกขวาได้มานานกว่า 1 ปีแล้ว ส่วนพี่ชายอายุ 14 ปี ต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้น ม.4 เพื่อมาช่วยบิดาออกเรือหาปลา หาเงินมารักษามารดา และเลี้ยงน้องชายวัย 5 ขวบอีก 1 คนนั้น

       

       ล่าสุด วันนี้ (11 ก.ย.) นายพร ทองสลับ ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.เขาไม้แก้ว พร้อมด้วยผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปติดตามดูครอบครัวของน้องน้ำเย็นที่บ้าน โดยพบว่า ทั้งน้องน้ำเย็น และมารดา เริ่มมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น รวมทั้งยังรู้สึกตื่นเต้น และปลื้มใจ ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

       

       โดยเฉพาะหลังจากที่มีการนำข่าวความกตัญญูเผยแพร่ออกไปทางสื่อต่างๆ ทำให้มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้าไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ พร้อมกับมอบเงิน และข้าวของเครื่องใช้ให้แก่ทางครอบครัว เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตรัง สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดตรัง

       

       ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.เขาไม้แก้ว กล่าวว่า ล่าสุด มีบริษัทห้างร้าน และผู้ใจบุญติดต่อโอนเงินมาช่วยเหลือน้องน้ำเย็น และครอบครัวแล้วหลายหมื่นบาท เช่น ไทยทีวีช่อง 3 ฮอนด้า ซึ่งก่อนหน้านี้ นอกจาก อบต.เขาไม้แก้ว แล้ว ไม่มีส่วนราชการใดเข้ามามอบเงินให้เลย ทำให้น้องน้ำเย็น และครอบครัวมีความหวังในชีวิตมากขึ้น เพราะลำพังอาชีพประมงที่พ่อ และพี่ชายทำอยู่นั้นไม่เพียงพอต่อการนำไปเลี้ยงดูผู้คนทั้ง 5 ชีวิตในแต่ละวัน

       

       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น้องน้ำเย็น อยากจะได้อีกอย่างก็คือ รถจักรยาน เพื่อปั่นไปโรงเรียน แทนที่จะต้องรบกวนให้ญาติๆไปส่ง หรือต้องโบกรถไปเรียนหนังสือเหมือนอย่างเช่นที่ผ่านมา

       

        

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก