นายแพทย์ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ผลสำรวจล่าสุดปี 2557 มีผู้อายุ 60 ปี ขึ้นไป กว่า 10 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมด ที่น่าห่วง คือ ผู้สูงอายุร้อยละ 95 หรือ 9.5 ล้านคน สุขภาพไม่ดี มีโรคประจำตัวที่พบบ่อย อาทิ โรคความดันโลหิตสูง พบร้อยละ 41 โรคเบาหวาน พบร้อยละ 18 ข้อเข่าเสื่อม พบร้อยละ 9 เป็นผู้พิการพบร้อยละ 6 โรคซึมเศร้า และนอนติดเตียงพบ ร้อยละ 1 มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ผู้สูงอายุประมาณ 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีความเปราะบางทางจิตใจ รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง

กระทรวงสาธารณสุขจึงมีแนวคิดสนับสนุนให้ผู้สูงอายุรวมตัวกันจัดตั้งเป็นชมรมผู้สูงวัย โดยในแต่ละปีจะมีผู้ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 400,000-500,000 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความหลากหลายทางอาชีพ และประสบการณ์ชีวิต เป็นคลังสมองของประเทศมาก่อน จึงควรนำศักยภาพที่มีมาช่วยกันวางทิศทางการพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่สอดคล้องวิถีชีวิต วัฒนธรรม บริบทท้องถิ่น เป็นการทำงานที่ผู้สูงอายุเป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อน โดยภาครัฐที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนสนับสนุน ทั้งสถานบริการสาธารณสุข และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เชื่อว่าทำให้เกิดระบบที่ยั่งยืนกว่าที่ภาครัฐจะคิดให้ทำให้ โดยที่ผู้สูงอายุไม่ได้มีส่วนร่วม และไม่ได้เป็นไปตามความต้องการ นอกจากนี้ การรวมกลุ่มช่วยให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ให้รู้สึกอบอุ่นใจ ไม่โดดเดี่ยว เกิดความภาคภูมิใจในคุณค่า ช่วยชะลอการเสื่อมของวัย ลดโรคและลดปัญหาการติดเตียงในอนาคต อายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น

สำหรับการจัดระบบบริการ ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนดำเนินการใน 5 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.สนับสนุนการดูแลระยะยาวต่อเนื่องตลอดชีวิต 2.ระบบการดูแลแบบประคับประคอง 3.ดูแลโรคเรื้อรังที่สำคัญ 4.การสร้างอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งควรจะมีทุกชุมชน และ 5.การให้ความรู้ผู้ดูแลผู้สูงอายุ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดโครงการหมอครอบครัว เป็นทีมสหวิชาชีพออกไปให้การดูแลสุขภาพประชาชนทุกครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุติดเตียง หรือ มีโรคประจำตัว เตรียมขยายทั่วประเทศในเดือนเมษายนนี้ ทำให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดูแลรักษาดียิ่งขึ้น