ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

โรงเรียนโสตศึกษาสุรินทร์ ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ต้นแบบโครงการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันที่ลงข่าว: 29/01/15

โรงเรียนโสตศึกษาสุรินทร์ ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ต้นแบบโครงการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างงานหลากหลายอาชีพให้เด็กนักเรียน และให้ประชาชนมาเรียนรู้เพื่อนำไปในใช้ชีวิต ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน

วันนี้ (10 ต.ค. 57) ที่โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ นายถาวร กุลโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมแขกผู้มีเกียรติ และผู้ปกครองนักเรียนร่วมแสดงความยินดีกับโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ในโอกาสที่ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ประจำปี 2556

นายบุญรักษ์ คลองมิ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า โรงเรียนโสตศึกษาสุรินทร์ส่งเข้ารับการประเมินตั้งแต่ปี 2556 ประเภทโรงเรียนมัธยมขนาดเล็ก ซึ่งมีการประเมินในระดับเขต 3 และเป็นตัวแทนเขต 3 สุรินทร์ จากนั้นก็ไปแข่งในระดับตัวแทนในแต่ละเขต ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่มีทั้งหมด 4 เขต ประถม 3 เขต และมัธยม 1 เขต สำหรับโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ สอนเด็กพิการหูหนวก สังกัดส่วนกลางก็ไปแข่งกับหลายๆ โรงเรียน จนเป็นตัวแทนของจังหวัดสุรินทร์ และเป็น 1 ใน 5 จังหวัด ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ซึ่งมีรางวัลเดียว โดยทางโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ ได้เข้ารับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศาลาดุสิตดาลัย สวนดุสิต เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา

สำหรับโรงเรียนมีกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ การเลี้ยง หนอนนก การปลูกผัก การเลี้ยงหมูป่า การเลี้ยงไก่ การเลี้ยงกบ การเลี้ยงปลาดุก เป็นการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำไปเผยแพร่สู่ชุมชน หมู่บ้านของตนเอง ก็สามารถทำให้จังหวัดสุรินทร์ มีการขยายผลปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้บรรลุเป้าหมาย ตามนโยบายของรัฐบาล และ คสช. อีกด้วย ซึ่งปีนี้มีผู้คนเข้ามาศึกษาดูงานจากทั่วประเทศ เป็นการการสร้างงานสร้างอาชีพให้เด็กนักเรียนพิการหูหนวก จากการทำก้อนเชื้อเห็ด การเลี้ยงปลาดุก การเลี้ยงกบ การเลี้ยงหมูป่า การเลี้ยงไก่ - เป็ด การปลูกต้นกาแฟ การปลูกพืชเกษตรที่หลากหลาย การเลี้ยงไส้เดือน การทำขนมเบเกอรี่ การตัดเย็บเสื้อผ้า และวิชาชีพช่างต่างๆ และขยายผลไปสู่ผู้ปกครองและชุมชนต่อไป

ที่มาของข่าว สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก