ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ตั้งหลักสูตรโรงเรียนชายแดนสอนภาษาประเทศเพื่อนบ้าน

วันที่ลงข่าว: 29/01/15

จังหวัดสระแก้วเป็นพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา จึงต้องจัดหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

นายจำเนียร พวงแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนซับม่วงวิทยา โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนในอำเภอที่ติดกับชายแดนเกือบทุกแห่งมีการสอนภาษาเขมร และบางแห่งมีการสอนภาษาจีนเพิ่มเติม

“ปัญหาที่พบคือ ในแต่ละโรงเรียนมีหลักสูตรภาษาเขมรที่แตกต่างกัน บางโรงเรียนจ้างครูภาษาเขมรมาสอนได้ บางโรงเรียนก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นหากต้องการให้โรงเรียนมีการสอนภาษาประเทศเพื่อนบ้านได้ผลตามที่นโยบายกำหนด จำเป็นต้องมีนโยบายจากส่วนกลางลงมาทั้งหลักสูตร เพื่อให้มีการปฏิบัติได้อย่างจริงจังมากกว่าที่แต่ละโรงเรียนจะดำเนินการกันเอง” นายจำเนียรกล่าว

นายจำเนียรกล่าวถึงการดำเนินงานของโรงเรียนซับม่วงว่า แต่เดิมบรรจุวิชาภาษเขมรเป็นวิชาหลักที่นำมาคิดเป็นผลการเรียน แต่พบปัญหาเนื่องจากมีนักเรียนส่วนหนึ่งไม่จบการศึกษาเนื่องจากไม่ผ่านวิชาภาษาเขมร เพราะที่บ้านใช้ภาษาลาวเป็นหลักทำให้ไม่มีพื้นฐานภาษาเขมร รวมทั้งมีครูผู้สอนไม่เพียงพอ จึงได้ปรับมาเป็นวิชาในกลุ่มความสนใจแทน ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนที่สนใจเข้าร่วม ๒๐ คน เรียนสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง

กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายให้โรงเรียนที่มีพื้นที่ติดชายแดนมีการเรียนการสอนภาษาประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และสื่อสารกับคนในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสู่ตลาดแรงงานและการเคลื่อนย้ายแรงงานเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี ๒๕๕๘

นายจำเนียร ฯ อธิบายว่า การเรียนการสอนภาษาจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เข้าใจคนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกันโรงเรียนไทยบริเวณชายแดนก็จะมีนักเรียนเขมรเข้ามาเรียนเช่นเดียวกัน เป็นกลุ่มเด็กไป-กลับ ที่ผู้ปกครองทำงานอยู่เมืองไทย จึงพาเด็กมาเข้าเรียน เด็กเหล่านี้จะมีความรู้ในการใช้ภาษาไทยอย่างดีและเข้ากับเพื่อนนักเรียนไทยได้ไม่ยาก จึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์กันตั้งแต่เด็ก

นอกจากนี้ในระดับประถมศึกษาจะมีการจับคู่เป็นโรงเรียนคู่ขนานกับทางกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนครูผู้สอนซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก

ที่มาของข่าว www.dlfeschool.in.th/ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก