ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

เวียดนามเตรียมส่งผู้หญิงเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจของไทยปีหน้าเชื่อมโยงอาเซียน

วันที่ลงข่าว: 29/01/15

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เตรียมเข้าสู่อาเซียน พร้อมรับเวียดนามส่งผู้หญิงเข้าเรียน นายร้อยตำรวจของไทยปีหน้า ผลิตนักเรียนตำรวจหญิงหญิงไทยจบแล้ว ๑๒๐ นายจาก ๒ รุ่น

พลตำโรจโท ศักดา เตชะเกรียงไกร ผู้บัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ กล่าวถึงผลการติดตามการทำงานของนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจไปแล้ว ๒ รุ่น รวม ๑๒๐ นายว่า ขณะนี้ มีนายร้อยตำรวจหญิงสำเร็จการศึกษาและไปปฏิบัติหน้าที่ตามโรงพักทั่วประทศเป็นเวลา ๑ ปีแล้วจำนวน ๖๐ คน ส่วนรุ่นที่ ๒ มีการฝึกงานและเพิ่งสำเร็จการศึกษาอีก ๖๐ คน และจะเข้ารับพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาในวันที่ ๖ ส.ค. นี้

ปรัชญาในการผลิตนายร้อยตำรวจหญิงคือ สร้างจิตวิญญาณความเป็นตำรวจ ความเป็นวิชาการ เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธี และมีความทันสมัย นายร้อยตำรวจหญิงต้องผ่านการฝึกยุทธวิธีที่เหมือนนายร้อยตำรวจชายรวมทั้งการฝึกกระโดดร่ม แต่ฝึกในส่วนที่เบากว่าตามที่เหมาะสมกับสรีระผู้หญิง

การมีตำรวจหญิงจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจไปทำหน้าที่พนักงานสอบสวนตามระเบียบบังคับ ๓ ปีแรกถือเป็นการช่วยเหลืองานตำรวจได้เป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันมีคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กและสตรีเพิ่มมากขึ้น

พลตำรวจโท ศักดา กล่าวว่า จากความสำเร็จในการผลิตบุคลากรของโรงเรียนมานานกว่า ๑๑๔ ปี เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้รับการยอมรับทางวิชาการ ทำให้เพื่อนบ้านส่งนักเรียนมาเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แล้วหลายรุ่นและหลายประเทศ โดยปีการศึกษา ๒๕๕๘ เวียดนามและพม่าจะส่งนักเรียนนักเรียนมาเข้ารับการศึกษาประเทศละ ๔ นาย โดยเวียดนามจะขอส่งนายร้อยตำรวจหญิงมาเข้ารับการศึกษาด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ MOU ระหว่างกัน ซึ่งถือว่าเป็น นายร้อยตำรวจหญิงต่างชาติชุดแรกที่เข้ามาเรียนที่โรงเรียน นายร้อยตำรวจ

ผู้บัญชาการนายร้อยตำรวจ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โรงเรียนนายร้อยตำรวจจะมีการเรียนการสอนร่วมกันกับ นายร้อยตำรวจจากประเทศอื่นในอาเซียนในหัวข้อ “ อาเซียนศึกษา” เป็นการเรียน ๑ เทอมในเทอมที่ ๒ ของชั้นปีที่ ๒ จำนวน ๓๐ คน โดยมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจชองไทย เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงของ นายร้อยตำรวจในภูมิภาคอาเซียน และเตรียมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีกด้วย

 

ที่มาของข่าว www.dlfeschool.in.th/ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก