ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

ไทยเตรียมเด็กต่างด้าวเข้าระบบการศึกษา

วันที่ลงข่าว: 28/01/15

รัฐรับเด็กต่างด้าวเข้าโรงเรียนไทย สนองนโยบายการศึกษาเท่าเทียม เริ่มนำร่องที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีจำนวนคนต่างด้าวชาวพม่า กัมพูชา และลาว อยู่ลำดับต้น ๆ ของไทย

นายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (แอลพีเอ็น) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีสัดส่วนเด็กข้ามชาติใน จ.สมุทรสาคร ที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษาอีกมาก ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) ควรสนับสนุนให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) มีบทบาทเชิงรุก พร้อมกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการขยายโอกาสให้เด็กข้ามชาติเข้าสู่ระบบการศึกษา

“การเปิดโอกาสให้เด็กข้ามชาติเรียนร่วมกับเด็กในระบบ จะช่วยสร้างบรรยากาศของโรงเรียนนานาชาติ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ช่วยส่งเสริมการปรับตัวของเยาวชนสู่การรวมประชาคมอาเซียนมากขึ้น”

ปัจจุบันพื้นที่ จ.สมุทรสาคร มีแรงงานเด็กข้ามชาติ อายุ ๐-๑๕ ปี ประมาณ ๑-๑.๕ หมื่นคน สวนใหญ่อยู่ในเขตอำเภอเมือง ในจำนวนนี้มีเด็กที่สามารถเข้าเรียนในระบบโรงเรียนประมาณร้อยละ ๑๐ หรือ ๑,๐๐๐ – ๑,๒๐๐ คน และอีกประมาณร้อยละ ๕ หรือ ๕๐๐-๘๐๐ คน อยู่ในศูนย์การเรียนที่จัดโดยมูลนิธิต่าง ๆ และอีกร้อยละ ๘๕ ยังไม่ได้รับการศึกษา

มูลนิธิ ฯ ได้รับการสนับสนุนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จัดโครงการส่งเสริมสิทธิทางการศึกษาและการคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับแรงงานเด็กต่างชาติและลูกแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่างปี ๒๕๕๑-๒๕๕๗ เพื่อส่งเสริมให้เด็กข้ามชาติเข้าสู่ระบบการศึกษาของไทย โดยที่ผ่านมาได้คัดเลือกสถานศึกษาในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก ภายใต้แนวคิดใกล้บ้านใกล้โรงเรียน

ขณะนี้มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการแล้ว ๔ แห่ง จำนวนนักเรียน ๑,๒๙๘ ได้แก่ 

โรงเรียนวัดศรีสุทธาราม (วัดกำพร้า) มีนักเรียนข้ามชาติ ๓๖๗ คน และอยู่ในศูนย์เตรียมความพร้อมของโรงเรียนวัดกำพร้า ๔๘๒ คน โรงเรียนหลวงแพทย์โกศลอุปถัมภ์ ๑๗๑ คนโรงเรียนวัดเกาะ ๙๑ คน และโรงเรียนวัดศิริมงคล ๒๘๗ คน และในปี ๒๕๕๗ นี้ มูลนิธิ ฯ ตั้งเป้าให้มีสถานศึกษาใน จ. สมุทรสาครเข้าร่วมโครงการอีก ๒-๓ แห่งและมีเด็กข้ามชาติเข้าระบบอีก ๕๐๐-๖๐๐ คน

สมุทรสาครมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการจดทะเบียนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน ครึ่งหนึ่งเป็นชาวพม่า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นชาวลาวและกัมพูชาอย่างละเท่า ๆ กัน

 

ที่มาของข่าว www.dlfeschool.in.th/ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๗
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก