วันที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่โรงแรมบลูโฮเทลนครพนม อำเภอเมืองนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเสริมสร้างสุขภาวะในวิถีแห่งความปกติใหม่สำหรับคนตาบอด (New normal) รุ่นที่ 2 ที่สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2565 โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นคนตาบอดที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 60 คน

          นายสถาบ คะสุดใจ ประธานคณะกรรมการบริหารสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงหนือตอนกลาง กล่าวว่า ตามมาตรการด้านสาธารณ์สุขในมติของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 กำหนดให้โรคโควิด-19 สู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ (Post-Pandemic) เป็นการเตรียมพร้อมสู่การประกาศเป็นโรคประจำถิ่น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการระบาดใหญ่ในประเทศไทยไม่มีแล้ว โรคลดความรุนแรงลง และระบบสาธารณสุขสามารถรองรับได้อย่างทั่วถึง ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะทุกวันนี้ยังพบการเกิดคลัสเตอร์ และยังพบผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตตามรายงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเชื้อโควิด-19 ยังมีการพัฒนาสายพันธุ์ตัวเอง มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นการเสริมสร้างสุขภาวะท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้กับคนตาบอดที่สอดคล้องกับเตรียมรับกับการกลายเป็นโรคประจำถิ่นของโควิด-19 จึงเป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนมาก ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา มีคนตาบอดที่ติดเชื้อโควิด-19 แจ้งขอความช่วยเหลือมายังสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และก็ยังมีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้

          สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของ "การให้ความรู้ความเข้าใจและฝึกฝนคนตาบอด" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปรกติสุขท่ามกลางโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นปรกตินิสัย ดังนั้นสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยจึงจัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง"การเสริมสร้างสุขภาวะในวิถีแห่งความปกติใหม่สำหรับคนตาบอด (New normal) ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเสริมสร้างสุขภาวะท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้กับคนตาบอด เป็นการฝึกปฏิบัติการดูแลสุขภาพเบื้องต้นด้วยตนเอง และเพื่อให้เกิดคู่มือการดูแลสุขภาพด้วยตนเองสำหรับคนตาบอด ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์