ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

เด็กไทย เก่ง พัฒนา “กระเบื้องทางเท้าสำหรับผู้พิการทางสายตาจากขยะกล่องนมและยางพารา”

วันที่ลงข่าว: 08/11/21

          นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช.กล่าวว่า  ถือเป็นความภาคภูมิใจ ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนผลงาน “กระเบื้องทางเท้าสำหรับผู้พิการทางสายตาจากขยะกล่องนมและยางพารา” ของนางสาวพรพิสุทธิ์ ชินอมรพงษ์ นางสาวฤทัยชนก แสงเงินอ่อน และนางสาวรมณ เจียมกิม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ที่สามารถคว้ารางวัลเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ จากการนำขยะกล่องนมมาผ่านกระบวนการขึ้นรูปด้วยยางพาราสู่การพัฒนาเป็นกระเบื้องทางเท้าสำหรับผู้พิการทางสายตา เข้าร่วมประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติ ในงาน The Innovation Week in Africa (IWA 2021) ณ ประเทศโมร็อกโก ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 8-12 กันยายนที่ผ่านมา

          นางสาวพรพิสุทธิ์ ชินอมรพงษ์ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นได้สังเกตเห็นว่า ผู้พิการเป็นบุคคลซึ่งมีข้อจํากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม และมีความจําเป็นเป็นพิเศษที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งในประเทศไทย พบผู้พิการทางการมองเห็น 191,965 คน โดยปัจจุบันอาคาร สถานที่และหน่วยงานต่างๆ ได้ติดตั้งเบรลล์บล็อกเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร แต่บางครั้งการติดตั้งทำได้ยาก เนื่องจากภายในสถานที่ปิด มีการออกแบบสถานที่และจัดวางเครื่องเรือน ตามรูปแบบที่ออกแบบเพื่อความสวยงาม ทำให้เกิดอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางในการติดตั้ง 

          นางสาวฤทัยชนก แสงเงินอ่อน กล่าวว่า มีแนวคิดที่จะประดิษฐ์นวัตกรรม เบรลล์บล็อก  ที่มีความทนทานต่อแรง น้ำหนัก สภาพอากาศ มีน้ำหนักเบา สามารถติดตั้งและเคลื่อนย้ายได้ง่าย มีต้นทุนการผลิตและราคาที่ไม่สูงมาก ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใหม่หรือติดตั้งเพิ่มมากขึ้น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากขยะกล่องนมและยางพารา โดยใช้น้ำยางพาราธรรมชาติชนิดข้นต่อน้ำหนักของกล่องนม UHT ที่ผ่านการทำความสะอาดและปั่นละเอียดจนมีลักษณะเป็นเยื่อ จากนั้นผ่านการทดลองขึ้นรูปในสูตรต่างๆ พบว่า มีสูตรการผลิตบางสูตรที่มีคุณสมบัติที่ดีมากเหมาะแก่การนำไปใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากผลงานดังกล่าวมีผู้สนใจที่จะนำไปต่อยอด จะเป็นการดีมาก เพราะจะช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้ชีวิตในที่ต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก