ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำการรับมือโรคโควิด-19 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความท้าทายในอนาคต

วันที่ลงข่าว: 02/11/21

          พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 22 ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิกอาเซียน และนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ที่ประชุมมีการหารือในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ที่มีความแนบแน่นมาโดยตลอด ความร่วมมือด้านสาธารณสุขเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และความมุ่งหวังในการสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี นายกรัฐมนตรี ชื่นชม นโยบายมุ่งใต้ใหม่และนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัสของเกาหลีใต้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของอาเซียนที่ไม่ประสงค์ให้ภูมิภาคเป็นพื้นที่ของการแข่งขันและการเผชิญหน้า โดยเฉพาะระหว่างประเทศมหาอำนาจ

          นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 4 ประเด็นสำคัญ สำหรับก้าวต่อไปที่มั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย 

          ประการแรกคือ การยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางและการรับมือโรคโควิด-19 ซึ่งไทยขอบคุณที่เกาหลีสนับสนุนเงินเพิ่มเติมอีกจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19 ในวันนี้ ซึ่งจะมีส่วนต่อการผลิต วิจัยและพัฒนาวัคซีน และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในภูมิภาคต่อไป

         ประการที่สอง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต และควรมุ่งเน้นเรื่องการฟื้นฟูและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไทยกำลังมุ่งสู่การพลิกโฉมประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ควรมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาด

         ประการที่สาม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ผ่านการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ

         ประการที่สี่ การมุ่งเน้นการสร้างสันติภาพเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ไทยหวังว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะกลับเข้าสู่การเจรจาโดยเร็ว เพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์และมีความรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป

         นายกรัฐมนตรี ยังเห็นว่า สันติสุข ความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรืองของโลกก็เชื่อมโยงกันด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงขอยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและฟันฝ่าความท้าทายต่างๆ ไปพร้อมกับทุกประเทศต่อไป

 

ที่มาของข่าว สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก