ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

บอร์ดกช.ชงปรับเงินอุดหนุนนร.พิการรร.เอกชน

วันที่ลงข่าว: 25/02/21

          รมช.ศึกษาธิการ ถก บอร์ด กช. เผย ที่ประชุมไฟเขียวปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการในโรงเรียนสังกัด สช.โรงเรียนอาชีวะเอกชน รวม 17 ล้านบาท คิดเป็น 35% จากฐานเดิม

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษา โดยแต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากเดิม 16,552.50-35,932.50 บาท เพิ่มเป็น 32,540-51,935 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา ประเภทการเรียนและหลักสูตรการเรียน ดังนั้นจึงคิดเป็นเงินอุดนหนุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 35% จากฐานเดิม

          รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ในปัจจุบัน สช.มีนักเรียนพิการทั้งอยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ และโรงเรียนสามัญทั่วไป จำนวน 4,359 คน โดยข้อมูลเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนพิการพบว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 100,613,194 ล้านบาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 30 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษานั้น ข้อมูลเมื่อปี 2563 มีนักศึกษาพิการระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้รับเงินอุดหนุน รวม 342 คน เบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอ ก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 7 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการปรับเพิ่มเงินงบประมาณดังกล่าวจะเป็นงบประมาณที่สามารถบริหารจัดการกับวงเงินงบทั้งหมดในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้

         “เรามองว่าหากไม่มีการปรับอัตราเงินอุดหนุนนี้ อาจทำให้โรงเรียนเอกชนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาพิเศษได้ ต้องหยุดกิจการงดรับนักเรียนพิการ อีกทั้งโรงเรียนการศึกษาพิเศษของรัฐก็จะต้องแบกรับภาระนักเรียนพิการมากขึ้น รวมถึงเกิดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงบริการสาธารณะจากรัฐ และขาดการเสมอภาคในการรับการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับผู้พิการ” นางกนกวรรณ กล่าว

ที่มาของข่าว https://www.dailynews.co.th/education/827332
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก