ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

เปิดใจ"น้องน้อย"สาวพิการได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระเทพฯ

วันที่ลงข่าว: 12/03/13

นาทีนี้ในโลกออนไลน์ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก "น้องน้อย" น.ส.อภิรดี โปร่งใจ อายุ 28 ปี บัณฑิตพิการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่นั่งรถเข็นเข้ารับพระราชทานปริญญาบัติ  และทรงได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 8 มี.ค. โดยที่พระองค์ทรงเห็นว่าบัณฑิตผู้พิการเคลื่อนไหวมือได้อย่างลำบาก จึงทรงโน้มพระวรกายลงมาพระราชทานใบปริญญาให้บัณฑิต  สร้างความปลาบปลื้มต่อพสกนิกรทั่วไทย  ที่ได้เห็นคลิปวิดิโอดังกล่าวถูกส่งต่อบนโลกออนไลน์จำนวนมาก
วันนี้ (11 มี.ค.) ทีมข่าวเว็บไซต์เดลินิวส์ ได้ติดต่อสัมภาษณ์ "น้องน้อย"  ถึงความรู้สึกในนาทีแห่งความปื้มปีติในครั้งนี้ โดยน้องน้อยเล่าว่า  ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บริษัท อภิรดี อพาร์ทเมนต์ เลขที่ 812/7 ซอยสุทธิพร ถนนประชาสงเคราะห์ 2 เขตดินแดง  ซึ่งเป็นกิจการของคุณแม่ ที่เปิดอพาร์ทเมนท์ให้เช่า 100 กว่าห้อง  และมีพี่ชายอีก 1 คน แม้จะค่อนข้างโชคดีที่ฐานะทางบ้านไม่ลำบาก แต่ก็เกิดมาอาภัพเพราะพิการทางสมองและกล้ามเนื้ออ่อนแรง  ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไปโดยเฉพาะเรื่องการเรียน ที่ความพิการเป็นปัญหาอุปสรรคอย่างมาก เมื่อจบกศน. จึงเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยา เพราะคิดว่า แม้จะพิการแต่การเรียนจิตวิทยาจะเป็นทางลัดทำให้รู้จักผู้คนได้มากขึ้น และใช้ความรู้ด้านจิตวิทยามาช่วยบริหารคนในบริษัท ทั้งแม่บ้าน พนักงานบริหาร รวมทั้งรปภ. กว่า 10 คน หลังเรียนจบแล้ว จะนำความรู้ที่มีมาช่วยคุณแม่บริหารจัดการหอพักแห่งนี้ และอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาโทด้วย แต่ตอนนี้ขอช่วยคุณแม่ทำงานก่อนค่ะ ซึ่งหนูจะดูแลทั้งเรื่องบัญชี และระบบอื่นๆทั้งหมด
ยอมรับว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ ลำบากแสนสาหัส เพราะไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ต้องให้พี่เลี้ยง เพื่อนๆ และคนรอบข้างช่วยอ่านหนังสือให้ฟังเพื่อจดจำตำราเรียน แม้สมองจะช้ากว่าคนอื่น แต่ก็มุมานะ เวลาสอบได้รับความกรุณาจากคุณครูช่วยเป็นล่ามเขียนคำตอบส่งอาจารย์  แม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็อยากเรียนให้จบปริญญาจะได้เป็นที่ภาคภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่  เพราะคิดเสมอว่า อยากให้ตัวเองเป็นแรงบันดาลใจถึงญาติๆและบุคคลที่มีร่างกายปกติ แต่ไม่ยอมเรียนหนังสือหรือท้อแท้ในชีวิต เพื่อฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคให้สำเร็จเหมือนหนู
สำหรับวินาทีแห่งความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตนั้น  หนูตื่นเต้นมากตั้งแต่ตอนที่ทราบผลสอบผ่าน และจะได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน ก็ตั้งใจเข้าซักซ้อมพิธี และรู้สึกเกร็งมาก เพราะกลัวพลาด พอถึงเวลาสำคัญในชีวิต ตอนที่หนูนั่งรถเข็นหน้าพระพักต์ท่านก็ไม่กล้าสบตา พอเสี้ยววินาทีสำคัญก็พยายามยื่นมือไปรับปริญญาบัตรถึง 2 ครั้งแต่พระองค์คงเห็นว่าหนูรับไม่ถนัดเลยโน้มพระองค์ลงมา และถามหนูว่า"รับสองมือได้มั๊ย" ก่อนที่จะช่วยนำใบปริญญาใส่มือหนู หนูก็ขนลุกทันที รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น โลกหยุดหมุน  มีแต่ความรู้สึกปลาบปลื้มในหัวใจ  จนบอกไม่ถูก
หลังจากนั้นท่านอธิการบดีก็มากระซิบว่า"เธอมีบุญมากเลยนะ" และไม่ทราบว่าจะกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามวัน จนมีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์กันมากมาย จนถึงตอนนี้คิวยังยาวเหยียดเลยค่ะ  น้องน้อย ยังส่งกำลังใจถึงผู้ที่ท้อแท้ด้วยว่า "หนูต้องใช้เวลาเรียนถึง 5 ปี กว่าจะสำเร็จ แม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็คิดเสมอว่า ต้องมุมานะ  ต้องขยัน ต้องสู้ ต้องไม่ท้อ 
ด้านน.ส.สมจิต  เสนาพงษ์ คุณอาของน้องน้อย บอกว่า พ่อแม่น้องน้อยแยกทางกัน ปัจจุบันน้องน้อยอยู่กับแม่ แต่ตนก็เป็นพี่เลี้ยงดูแลน้องน้อยมาโดยตลอด  รู้สึกปลาบปลื้มไปกับหลานด้วย เพราะจะคอยดูแลน้องตั้งแต่เรื่องชีวิตประจำวัน ไปออกกำลังกายเพิ่มความเแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พาไปเรียน อ่านหนังสือให้ฟัง และช่วยทดลองทำข้อสอบ โดยน้องจะอ่านคำถาม และบอกถ่ายทอดคำตอบเพื่อให้พี่จดให้  วันที่รับปริญญาของน้องน้อย พี่อยู่ข้างนอก ก็นั่งเฝ้าหน้าทีวีวงจรปิดเพื่อดูช่วงตอนรับปริญญาตั้งแต่ 10.00 -14.00 น. โดยเฝ้าหน้าจอไม่ห่าง เพราะทางสถาบันบอกว่าจะเสร็จพิธีในเวลา 14.30 น. ก็เลยรีบทานข้าวเข้าห้องน้ำเสร็จก็นั่งเฝ้าไม่กระพริบ จนวินาทีสำคัญเห็นน้องน้อยพยายามลุกตัวขึ้นรับใบปริญญาบัตรถึง 2 ครั้ง จนพระองค์ท่านโน้มพระวรกายลงมาช่วยหลาน ก็ไม่อาจสกัดกั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจได้.
 

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์

ภาพประกอบข่าวประจำวัน

^ กลับสู่เนื้อหาหลัก