ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดให้นางมาริษา สมบัติบูรณ์ ผู้ช่วยเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เชิญถุงยังชีพพระราชทานไปมอบแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดแพร่

วันที่ลงข่าว: 09/09/20

           วันนี้ (8 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออกและกลุ่มประเทศ GMS บ้านกอเปา ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดให้นางมาริษา สมบัติบูรณ์ ผู้ช่วยเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ด้านกิจการพิเศษ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เชิญถุงยังชีพพระราชทานไปมอบแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีนางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ และรายงานสถานการณ์อุทกภัย โดยประชาชนชาวจังหวัดแพร่ รู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณอันล้นพ้น อย่างหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงห่วงใยและเมตตาต่อพสกนิกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดแพร่ในครั้งนี้

            ทั้งนี้จังหวัดแพร่ ได้รับผลกระทบจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 20-23 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมฉับพลัน เข้าท่วมพื้นที่การเกษตร และสิ่งสาธารณประโยชน์ส่งผลให้บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ 8 อำเภอ 68 ตำบล 484 หมู่บ้าน โดยแบ่งเป็น ด้านบ้านเรือนเสียหาย จำนวน 5,437 ครัวเรือน และด้านการเกษตรเสียหาย จำนวน 3,109 ไร่ โดยทางจังหวัดร่วมกับอำเภอ หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ได้สำรวจความเสียหาย และให้การช่วยเหลือเบื้องต้น 

            จากนั้นนางมาริษา สมบัติบูรณ์ ผู้ช่วยเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ได้ถวายกระเป๋ายาพระราชทานแด่พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 6 รูป และร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ มอบถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดแพร่ จำนวน 1,500 ชุด และกระเป้ายาพระราชทาน จำนวน 600 ชุด

            จากนั้น ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่  45 หมู่ 2 ตำบลป่าแดง อำเภอเมืองแพร่ เพื่อมอบถุงยังชีพและกระเป๋ายาพระราชทาน แก่ นางสาวมาลัย จันทร์คำ อายุ 77 ปี ซึ่งอาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 700 บาท เงินผู้พิการเดือนละ 800 บาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 300 บาท รวม 1,800 บาท อาศัยอยู่บ้านเช่าเพียงลำพัง โดยมีบุตรหลานและญาติจ่ายค่าเช่ารายเดือนให้ ผู้ป่วยเดินเองไม่ได้ใช้วิธีนั่งเขยิบทำกิจวัตรประจำวัน ทำกับข้าวเอง ซักเสื้อเอง ผู้ป่วยมักจะปวดตามกระดูกสะโพกและต้นขาทำให้ยืนเองไม่ได้

            จากนั้น เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 103 หมู่12 ตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ ซึ่งเป็นของ นางศรี วิโจทุจ อายุ 87 ปี ซึ่งอาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 800 บาทต่อเดือน ลักษณะบ้านเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง สภาพบ้านแข็งแรงปานกลาง อากาศถ่ายเทได้ดี มีลูกชายและลูกสาวผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลแม่ปัจจุบัน ผู้ป่วยไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ เพราะขาทั้งสองข้างอ่อนแรง แต่มือทั้งสองข้างมีแรงดี สามารถช่วยเหลือตังเองได้บ้างบางส่วน ซึ่งผู้ป่วยทั้งสองคนต่างปลาบปลื้มในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ และพระราชทานสิ่งของช่วยเหลือในครั้งนี้ 

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก