ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

นายกรัฐมนตรีชี้แนวทางการเรียนการสอนในช่วงโควิด-19 พร้อมให้สอนชดเชยให้ครบตามโครงสร้างเวลาเรียน

วันที่ลงข่าว: 08/06/20

        พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงแนวทางการเรียนการสอนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึง 16 พฤษภาคม 2564 ว่า รัฐบาลพร้อมให้สถานศึกษาเปิดสอนชดเชยให้ครบตามโครงสร้างเวลาเรียน โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทั้งในระดับชั้นประถมศึกษา ระดับชั้นมัธยมตอนต้น ระดับชั้นมัธยมตอนปลาย และสถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งการเรียนการสอนทางไกล ให้จัดตารางเวลาเรียนที่ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถนับชั่วโมงการเรียนได้ 

        สำหรับการจัดการเรียนการสอนทางไกลในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19   ได้นำผลการดำเนินการในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 มาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อดำเนินการในระยะที่ 3 ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึง 30 เมษายน 2564 แยกออกเป็น

        สถานการณ์ที่ 1 หากไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย จะต้องจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยระบบโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ระบบดิจิทัล ระบบดาวเทียม ระบบเคเบิลทีวี และระบบ IPTV จำนวน 15 ช่อง รวมถึงหาวิธีการที่เหมาะสม จัดเตรียมความพร้อมสำหรับอุปกรณ์ 

        สถานการณ์ที่ 2 หากไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย มีการเรียนการสอนปกติในโรงเรียน จะต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มีมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

        การวัดผลและการประเมินผล ใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาจใช้วิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ ให้ข้อมูล ตรวจเยี่ยมบ้านนักเรียน ประสานความร่วมมือจากผู้ปกครอง ใช้การทดสอบรูปแบบต่างๆ อาทิ การประเมินทางอีเมล์ จัดทำตารางนัดหมายเป็นกลุ่มขนาดเล็ก 

        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เห็นชอบลดภาระค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (เพิ่มเติม) ในช่วงการแพร่ระบาด โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการใช้จ่ายการติดตามและเยี่ยมบ้านนักเรียน อาทิ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ ให้จ่ายเงินสดให้แก่ผู้ปกครองสำหรับนักเรียนพิการ เด็กด้อยโอกาส ทั้งนักเรียนประจำและนักเรียน ไป-กลับ

 

ที่มาของข่าว สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก