“เงินกองทุนของคนพิการ”
สมาคมสภาคนพิการฯ ได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นประธาน โดยที่ประชุมมีมติให้ผู้แทนกระทรวงการคลังหารือร่วมกับผู้แทนสมาคมสภาคนพิการฯ และองค์กรคนพิการอื่น แต่การหารือดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะคนพิการเห็นต่างจากกระทรวงการคลังว่า กองทุนคนพิการไม่ได้มีเงินที่เกินความจำเป็น แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงไม่เพียงพอที่จะใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากมีคนพิการจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นทุกปี อีกทั้งศูนย์บริการคนพิการทั่วไปซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะนำเงินของกองทุนไปจัดบริการให้แก่คนพิการก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายให้นายจ้างจ้างคนพิการมากขึ้นอันจะทำให้นายจ้างที่ไม่จ้างคนพิการและต้องส่งเงินเข้ากองทุนแทนมีจำนวนลดน้อยลง เชื่อได้ว่าเงินไหลเข้ากองทุนจะลดน้อยลงกว่าเงินไหลออก จนกองทุนต้องประสบภาวะขาดสภาพคล่องในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กองทุนคนพิการเป็นเงินที่ได้มาจากการจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะกิจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่มาของเงินส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มาจากนายจ้างที่ไม่ได้รับคนพิการเข้าทำงานตามระบบโควตาและปรารถนาจะส่งเงินเข้ากองทุนแทน รวมทั้งเงินจากการออกสลากซึ่งคนพิการมีส่วนร่วมช่วยหาเงินเข้ากองทุนสำเร็จมาแล้วหลายร้อยล้านบาท
หากมีการใช้อำนาจบังคับให้กองทุนฯ ส่งเงินเข้าคลัง จะทำให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนและคนพิการทุกประเภททั่วประเทศไทย เพราะกองทุนเป็นทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตั้งแต่การฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา การกู้เงินไปประกอบอาชีพ การส่งเสริมการมีงานทำ สวัสดิการต่างๆ เช่น ล่ามภาษามือ ผู้ช่วยคนพิการ รวมทั้งใช้เพื่อการสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เป็นต้น
กระทรวงการคลังมีอำนาจและวิธีการที่จะหาเงินหลากหลายวิธี รวมทั้งไปบังคับเอากับกองทุนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100 กว่ากองทุนได้อยู่แล้ว จึงไม่ควรมาเอาเงินของคนพิการซึ่งแทบจะไม่พอใช้ในการดำรงชีวิตให้มีอิสระได้ เป็นการถอยหลังเข้าคลองย้อนยุค นำเงินคนพิการไปอุ้มชูคนอื่นทั่วไป เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อหลักการปกครอง จารตีประเพณี ศีลธรรม และกติการะหว่างประเทศที่นานาอารยะประเทศยอมรับเป็นหลักสากล