“มุมมองของนักดนตรีมืออาชีพกับลูกศิษย์คนพิการ ตอน 2”
เรื่องนี้คงจะต้องบอกว่า มันก็มีอะไรๆอยู่หลากหลายแง่มุมมาก อย่างที่เค้าว่ากันไว้ หลายคนยลตามช่อง..ที่ต่างๆกัน มุมมองจากหลายๆจุด มันจะเกิดเงาของเรื่องราวที่ทอดผ่านไป ในทิศทางที่หลากหลาย เหมือนกับว่า ณ จุดยืนของคนๆนั้นคือแหล่งกำเนิดแสง ที่ส่องไปยังเรื่องราว มันก็เปรียบได้กับแง่มุมของคนที่แตกต่างกันนั่นเอง .. หลายคนนั้นมองอาชีพนักดนตรี ในแง่ของความที่ว่า เป็นอาชีพที่ “ไม่มั่นคง” ถ้าหากเค้ามองถึงในเรื่องของรายได้ ที่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า คุณจะสามารถเล่นดนตรีแบบนี้ได้ตลอด ทั้งวัย ทั้งความนิยม หรือกระแส ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา .. ไม่มีเงินเดือนประจำที่แน่นอนในรูปแบบของหน่วยงานหรือบริษัท เจ้าของร้านอาจจะเลิกจ้างเมื่อไหร่ก็ได้ หรือถ้าเป็นศิลปินมืออาชีพ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า คนฟังจะฟังคุณไปถึงเมื่อไหร่ ในอนาคตอาจจะไม่เหลือใครฟังแล้วก็เป็นได้ .. นี่คือเรื่องความไม่มั่นคงที่ว่า
แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งเหมือนกันจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าอาชีพนี้นั้น “เท่” มากๆ ในหลายๆแง่มุม ทั้งในแง่ของเสน่ห์ที่เป็นนักดนตรีที่เล่นอะไรเจ๋งๆให้คนฟังได้ฟัง และสนุกไปกับมัน และได้รับความนิยม ได้รับเสียงกรี๊ด และมันดูดีเท่ดูเจ๋ง เป็นต้น .. และนอกจากนี้ยังดูเท่ ที่ดูอิสระเสรีไปกับสิ่งที่ชอบ และอยากทำ .. เท่ในความที่เราสามารถนำความชอบ ความฝัน ความมันส์ส่วนตัว(ในการชอบเล่นดนตรี) มาทำเป็นอาชีพที่สามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ .. ถ้ารวมถึงชื่อเสียงที่อาจจะได้มาหลังจากได้เข้าค่ายใหญ่ๆ หรือมีงานเป็นที่รู้จักในสังคมแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ..อันนี้เท่ เลย
เรามาดูกันทีละประเด็นที่บอกไปแล้ว เรื่องความไม่มั่นคงนั้น มันก็มีอีกหลายแง่มุมแหละ มันเป็นเพราะคุณยังไม่พยายามมากพอ หรือยังไม่”ดีพอ” รึเปล่า มันเลยไม่มั่นคง (เหมือนอาจารย์เฉลิมชัยว่าไว้ว่า เพราะเอ็งมันกระจอกไง ถึงได้ไส้แห้ง) เพราะถ้าเกิดว่าคุณ “เจ๋งจริง” หรือเข้าขั้นตำนานของประเทศ ได้รับความนิยมระดับศิลปินอมตะหรืออยู่ในระดับแนวหน้าจริงๆที่เป็นวงดังที่สุดแห่งยุค อันนี้ก็อาจจะกลบจุดด้อยเรื่องความไม่มั่นคงได้เยอะ รับประกันด้วยงานโชว์มากมายตลอดปี และกลายเป็นว่าในทางตรงกันข้ามกับความไม่มั่นคงนั้น ขณะเดียวกันอาชีพนี้ก็ทำเงินให้คุณได้แบบอลังการ เอาง่ายๆว่ารวยไม่รู้เรื่องได้เลย ถ้าคุณเจ๋งจริง หรือดังจริง .. มันก็มีแง่มุมตรงนี้อยู่