“ Soft Power พลังแสดงความสามารถของคนพิการด้านสติปัญญา”
นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล กล่าวว่า โครงการ Soft Power “พลังละมุนแสดงความสามารถคนพิการทางสติปัญญา” คนพิการทั้ง 7 ประเภทความพิการคนส่วนใหญ่รู้จักคนตาบอด คนหูหนวก ออทิสติก เมื่อเอ่ยถึงกลุ่มสติปัญญาจะคิดว่าใช่ออทิสติกหรือเปล่า จริงๆ แล้วความแตกต่างระหว่างออทิสติกกับสติปัญญามีความแตกต่างคนละด้าน คือกลุ่มสติปัญญาไอคิวจะน้อยกว่า 70 ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าสังคมได้ เช่น การสื่อสารที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้หรือไม่สามารถปฏิบัติร่างกายของตัวเองได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่สามารถที่จะเข้าสังคมได้ถือว่าเป็นกลุ่มคนพิการทางสติปัญญา ต้องทำอย่างไรให้คนรู้จัก ถ้าทำแบรนด์ของเราให้ติดตลาด เช่น อเมซอน (Amazon) หรือสตาร์บัคส์ (Starbucks) เป็นต้น
การทำ Soft Power สำหรับกลุ่มคนพิการทางสติปัญญาให้เป็นที่รู้จักทำให้การเข้าถึงต่างๆ ของเราดีขึ้นคนรู้จักเรามากขึ้น ข้อดีของ Soft Power คือสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น คุณครู ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ รู้จักกลุ่มสติปัญญามากขึ้น อยากส่งเสริมและอยากรับเข้าไปเรียน บริษัทต่างๆ ที่รู้จักเด็กกลุ่มสติปัญญามีความสามารถแบบนี้ เข้าไปทำงานได้ ยกตัวอย่าง ลิซ่า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ใช้ชฎาเข้าไปอยู่ใน MV ปรากฏว่าชฎาขายหมดเกลี้ยง ล่าสุดไปอยุธยาการแต่งตัวใส่ผ้าซิ่น เพราะฉะนั้นเขียนจุดที่ลิซ่ามาถ่ายรูป คนเฮโลไปตอนนี้อยุธยาโรงแรมเต็มหมด เรื่องการแต่งตัวคนจะทำตาม ของใช้ด้วย เช่น ลิซ่าใช้ยาดม โหมดของกินอย่างลูกชิ้นยืนกินยังตามกระแสที่บุรีรัมย์ไปซื้อลูกชิ้นยืนกิน เป็นต้น เหล่านี้คืออิทธิพลของ Soft Power อำนาจที่อ่อนโยนจะขยายอิทธิพลไปสู่คนในสังคมเพื่อเปลี่ยนความคิดคน เปลี่ยนจากการที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรงเลยแต่ต้องใช้การขู่บังคับ แต่คนยอมที่จะเปลี่ยน Mindset เปลี่ยนความคิดตัวเองแล้วปฏิบัติตาม นี่คือพลังของมัน
โครงการ Soft Power คือ ค้นหาจุดเด่นของเด็กๆ กลุ่มสติปัญญามีความชอบอะไรมากที่สุด เช่น การเรียนหนังสืออาจจะสู้คนอื่นไม่ได้เนื่องจากไอคิวน้อยกว่าคนอื่น แต่ทักษะที่เห็นชัดเจนและเริ่มเด่นขึ้นเรื่อยๆ คือเวลาเปิดเพลงชอบเต้น ชอบหลอก ชอบเล่นละคร โดยเฉพาะลูกชายทุกวันนี้ชอบเปิดดูยูทูปแล้วร้องเพลงตามทำให้การพูดชัดเจนขึ้น และการเต้นเป็นการได้ออกกำลังกายด้วย คิดว่าถ้าเราพัฒนาลูกของเราให้มีความสามารถที่เก่งๆ จะเป็น Soft Power ที่ทุกคนหันกลับมาเปลี่ยนแนวคิดใหม่
ยกตัวอย่างมีน้องคนหนึ่งมาจากสมุทรสาคร คุณแม่เล่าให้ฟังว่าอยากทำงานขายของ ขายหมูย่างหน้าโรงเรียน จึงฝากลูกให้คุณพ่อดูแล คุณพ่อให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ปรากฏว่า 2 ปีที่ผ่านมาน้องอยู่กับโทรศัพท์อย่างเดียว พามาร่วมงานปรากฏว่าก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวแล้วก็หงุดหงิดอยากเล่นแต่โทรศัพท์ วันแรกหน้างอก้มหน้าก้มตา วันที่ 2 เริ่มขยับตัวเข้าใกล้เวที พอวันที่ 3 เกือบจะได้ขึ้นเวทีค่อยๆ เปลี่ยนแปลง การทำให้เขามีกิจกรรมทำให้เขาห่างจากโทรศัพท์มือถือ อยากฝากคุณแม่คุณพ่อถ้าพอมีเวลาแม้จะให้เล่นมือถือก็พยายามให้เขาอยู่ในสิ่งที่ เช่น มีการเต้น มีการร้องเพลงโดยใช้ยูทูบ พูดให้ชัดเจนได้ อย่าไปปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์เครื่องหนึ่งแล้วพ่อแม่ทำงานของตัวเอง ลูกก็อยู่กับโทรศัพท์ปรากฏว่าผลเสียเกิดจากตรงนี้ แต่พอมาเข้าโครงการ Soft Power ปรากฏว่าลูกค้าดีขึ้น นี่คือกิจกรรมที่กำลังจะทำต่อไป
การทำ Soft Power สำหรับกลุ่มคนพิการทางสติปัญญาให้เป็นที่รู้จักทำให้การเข้าถึงต่างๆ ของเราดีขึ้นคนรู้จักเรามากขึ้น ข้อดีของ Soft Power คือสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น คุณครู ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ รู้จักกลุ่มสติปัญญามากขึ้น อยากส่งเสริมและอยากรับเข้าไปเรียน บริษัทต่างๆ ที่รู้จักเด็กกลุ่มสติปัญญามีความสามารถแบบนี้ เข้าไปทำงานได้ ยกตัวอย่าง ลิซ่า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ใช้ชฎาเข้าไปอยู่ใน MV ปรากฏว่าชฎาขายหมดเกลี้ยง ล่าสุดไปอยุธยาการแต่งตัวใส่ผ้าซิ่น เพราะฉะนั้นเขียนจุดที่ลิซ่ามาถ่ายรูป คนเฮโลไปตอนนี้อยุธยาโรงแรมเต็มหมด เรื่องการแต่งตัวคนจะทำตาม ของใช้ด้วย เช่น ลิซ่าใช้ยาดม โหมดของกินอย่างลูกชิ้นยืนกินยังตามกระแสที่บุรีรัมย์ไปซื้อลูกชิ้นยืนกิน เป็นต้น เหล่านี้คืออิทธิพลของ Soft Power อำนาจที่อ่อนโยนจะขยายอิทธิพลไปสู่คนในสังคมเพื่อเปลี่ยนความคิดคน เปลี่ยนจากการที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรงเลยแต่ต้องใช้การขู่บังคับ แต่คนยอมที่จะเปลี่ยน Mindset เปลี่ยนความคิดตัวเองแล้วปฏิบัติตาม นี่คือพลังของมัน
โครงการ Soft Power คือ ค้นหาจุดเด่นของเด็กๆ กลุ่มสติปัญญามีความชอบอะไรมากที่สุด เช่น การเรียนหนังสืออาจจะสู้คนอื่นไม่ได้เนื่องจากไอคิวน้อยกว่าคนอื่น แต่ทักษะที่เห็นชัดเจนและเริ่มเด่นขึ้นเรื่อยๆ คือเวลาเปิดเพลงชอบเต้น ชอบหลอก ชอบเล่นละคร โดยเฉพาะลูกชายทุกวันนี้ชอบเปิดดูยูทูปแล้วร้องเพลงตามทำให้การพูดชัดเจนขึ้น และการเต้นเป็นการได้ออกกำลังกายด้วย คิดว่าถ้าเราพัฒนาลูกของเราให้มีความสามารถที่เก่งๆ จะเป็น Soft Power ที่ทุกคนหันกลับมาเปลี่ยนแนวคิดใหม่
ยกตัวอย่างมีน้องคนหนึ่งมาจากสมุทรสาคร คุณแม่เล่าให้ฟังว่าอยากทำงานขายของ ขายหมูย่างหน้าโรงเรียน จึงฝากลูกให้คุณพ่อดูแล คุณพ่อให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ปรากฏว่า 2 ปีที่ผ่านมาน้องอยู่กับโทรศัพท์อย่างเดียว พามาร่วมงานปรากฏว่าก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวแล้วก็หงุดหงิดอยากเล่นแต่โทรศัพท์ วันแรกหน้างอก้มหน้าก้มตา วันที่ 2 เริ่มขยับตัวเข้าใกล้เวที พอวันที่ 3 เกือบจะได้ขึ้นเวทีค่อยๆ เปลี่ยนแปลง การทำให้เขามีกิจกรรมทำให้เขาห่างจากโทรศัพท์มือถือ อยากฝากคุณแม่คุณพ่อถ้าพอมีเวลาแม้จะให้เล่นมือถือก็พยายามให้เขาอยู่ในสิ่งที่ เช่น มีการเต้น มีการร้องเพลงโดยใช้ยูทูบ พูดให้ชัดเจนได้ อย่าไปปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์เครื่องหนึ่งแล้วพ่อแม่ทำงานของตัวเอง ลูกก็อยู่กับโทรศัพท์ปรากฏว่าผลเสียเกิดจากตรงนี้ แต่พอมาเข้าโครงการ Soft Power ปรากฏว่าลูกค้าดีขึ้น นี่คือกิจกรรมที่กำลังจะทำต่อไป

