“สวัสดิการด้านการศึกษาของคนพิการนำไปสู่การมีงานทำ ตอนที่ 2”
นายเทิดเกียรติ ฉายจรุง กล่าวว่า การเข้าถึงการศึกษาของคนพิการทุกคนหลังจากเรียนจบมีการ Soft Skill Hard Skills Training หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การมีงานทำ ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สามารถ Take action และทำ MOU กับคนพิการ หรือหน่วยงานราชการแค่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ 7,000 กว่าแห่ง ให้คนพิการที่จบทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ไปทำงาน เป็นนักจัดการงานทั่วไป นักวิเคราะห์แผนและนโยบาย นักบริหารทรัพยากรบุคคล จะต้องผลิตกี่คนและรับเข้าทำงานกี่คน
ทุกวันนี้ยังเห็นผลผลิตจากการศึกษาในประเทศไทยเป็นรูปแบบเมื่อจบการศึกษาที่ให้ไปเป็นลูกจ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน เมื่อฟื้นฟูด้านการรักษาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการศึกษา เชื่อมโยงฟื้นฟูทางด้านการสังคม และเชื่อมโยงไปสายอาชีพ ฉะนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้หากกฎหมายเปลี่ยนไปแต่กระบวนการทำงานยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม และควรทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันคนพิการออกสู่สังคมมากกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่จะมีคนพิการกี่คนที่มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองและเลี้ยงครอบครัวได้และสร้างสวัสดิการให้ตัวเองไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
คนพิการจะต้องมีอาชีพมีงานทำแต่ถามว่าพื้นฐานของคนพิการแน่นพอหรือยัง ทุกวันนี้การทำงานขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่เมื่อคุณมีวุฒิการศึกษาแต่คุณยังไม่มีภูมิต้านทานในการออกไปทำงาน ยังกลัวอยู่ว่าการเดินทางจะเป็นอย่างไร การทำงานกับคนปกติจะเป็นอย่างไร การทำงานของคนทั่วไปอย่างไร บางคนทำงานได้ไม่เกิน 2 วันก็ต้องลาออกเพราะว่ายังไม่มีการเตรียมความพร้อมกับคนพิการที่จะออกไปทำงานจริงๆ อยากให้มองว่าคนพิการก็คือคนปกติทั่วไปที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อยังชีพและเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงตนเอง คือ “การสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวของคนพิการ” ลองดูสถิติว่าตอนนี้มีคนพิการเรียนปริญญาตรีกี่คน เชื่อได้ว่าไม่เกิน 20,000 คน คนพิการบางคนมองว่าทำได้ไม่มีวุฒิแต่ทำได้ แต่อย่าลืมว่า “วุฒิการศึกษาจะเป็นตัวกำหนดรายได้ของคุณ” คุณเรียนจบมาคุณได้แต่ประกาศนียบัตร คุณก็ได้เงินเดือนเท่าประกาศนียบัตรแล้วเมื่อไหร่จะอยู่ได้ สมมุติว่าบ้านอยู่นนทบุรีต้องไปทำงานที่สีลมแต่ไม่ขับรถไป ขึ้นรถไฟฟ้าแทน ถามว่าต้องจ่ายค่าบ้าน ค่ารถไฟฟ้าเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่าไหร่ ฉะนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ควรกลับมามองสิ่งเหล่านี้เพื่อจะให้คนพิการมีงานทำที่ยั่งยืนจริงๆ อย่างน้อยก่อนที่คนพิการจะจบออกมา กระบวนการเหล่านี้ควรคิดตั้งแต่เรื่องของการรักษาเพราะว่า ในการรักษา การฟื้นฟู ทางสถาบันสิรินธรต้องมีการรักษาการฟื้นฟู เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อให้เขากลับมาใช้ชีวิตอาจเป็นปกติได้
นายเทิดเกียรติ ฉายจรุง ทิ้งท้ายว่า “ถ้าเสียงของเราวันนี้ที่เราคุยกันส่งถึงผู้ใหญ่ที่ดูแลเรื่องของการศึกษาไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รบกวนให้กลับมามองพระราชบัญญัติการศึกษาสำหรับคนพิการ ปี 2551 และแก้ไข 2556 กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อเรานำกฎหมายมาปฏิบัติ (เชิงนโยบาย) ไม่ใช่ว่าปฏิบัติตามกระแส บอกว่าเด็กพิการถูกเมื่อเรียนจะต้องจัดห้องเรียนพิเศษให้ นี่แค่ยกตัวอย่าง หรือคนพิการคนหนึ่งเข็นรถวีลแชร์ขึ้นทางลาดที่ไม่ได้มาตรฐานแล้วเกิดอุบัติเหตุ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รับจัดการทางลาดใหม่แต่ไม่ได้สำรวจว่า ทางลาดนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ หรือในมหาวิทยาลัยมีห้องน้ำสำหรับคนพิการหรือไม่ หรือทุกๆ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยพร้อมหรือไม่ที่จะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น ฉะนั้นแล้วผมว่ามันจะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับการสื่อสารและนำไปสู่การปฏิบัติจริงๆ พร้อมนำไปทบทวนเพื่อชีวิตของคนพิการจะพัฒนาขึ้นอีกเยอะ คำว่าความเท่าเทียมของคนพิการจะเกิดขึ้นจริงๆ”
ทุกวันนี้ยังเห็นผลผลิตจากการศึกษาในประเทศไทยเป็นรูปแบบเมื่อจบการศึกษาที่ให้ไปเป็นลูกจ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน เมื่อฟื้นฟูด้านการรักษาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการศึกษา เชื่อมโยงฟื้นฟูทางด้านการสังคม และเชื่อมโยงไปสายอาชีพ ฉะนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้หากกฎหมายเปลี่ยนไปแต่กระบวนการทำงานยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม และควรทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันคนพิการออกสู่สังคมมากกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่จะมีคนพิการกี่คนที่มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองและเลี้ยงครอบครัวได้และสร้างสวัสดิการให้ตัวเองไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
คนพิการจะต้องมีอาชีพมีงานทำแต่ถามว่าพื้นฐานของคนพิการแน่นพอหรือยัง ทุกวันนี้การทำงานขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษา แต่เมื่อคุณมีวุฒิการศึกษาแต่คุณยังไม่มีภูมิต้านทานในการออกไปทำงาน ยังกลัวอยู่ว่าการเดินทางจะเป็นอย่างไร การทำงานกับคนปกติจะเป็นอย่างไร การทำงานของคนทั่วไปอย่างไร บางคนทำงานได้ไม่เกิน 2 วันก็ต้องลาออกเพราะว่ายังไม่มีการเตรียมความพร้อมกับคนพิการที่จะออกไปทำงานจริงๆ อยากให้มองว่าคนพิการก็คือคนปกติทั่วไปที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อยังชีพและเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงตนเอง คือ “การสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวของคนพิการ” ลองดูสถิติว่าตอนนี้มีคนพิการเรียนปริญญาตรีกี่คน เชื่อได้ว่าไม่เกิน 20,000 คน คนพิการบางคนมองว่าทำได้ไม่มีวุฒิแต่ทำได้ แต่อย่าลืมว่า “วุฒิการศึกษาจะเป็นตัวกำหนดรายได้ของคุณ” คุณเรียนจบมาคุณได้แต่ประกาศนียบัตร คุณก็ได้เงินเดือนเท่าประกาศนียบัตรแล้วเมื่อไหร่จะอยู่ได้ สมมุติว่าบ้านอยู่นนทบุรีต้องไปทำงานที่สีลมแต่ไม่ขับรถไป ขึ้นรถไฟฟ้าแทน ถามว่าต้องจ่ายค่าบ้าน ค่ารถไฟฟ้าเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่าไหร่ ฉะนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ควรกลับมามองสิ่งเหล่านี้เพื่อจะให้คนพิการมีงานทำที่ยั่งยืนจริงๆ อย่างน้อยก่อนที่คนพิการจะจบออกมา กระบวนการเหล่านี้ควรคิดตั้งแต่เรื่องของการรักษาเพราะว่า ในการรักษา การฟื้นฟู ทางสถาบันสิรินธรต้องมีการรักษาการฟื้นฟู เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อให้เขากลับมาใช้ชีวิตอาจเป็นปกติได้
นายเทิดเกียรติ ฉายจรุง ทิ้งท้ายว่า “ถ้าเสียงของเราวันนี้ที่เราคุยกันส่งถึงผู้ใหญ่ที่ดูแลเรื่องของการศึกษาไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รบกวนให้กลับมามองพระราชบัญญัติการศึกษาสำหรับคนพิการ ปี 2551 และแก้ไข 2556 กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อเรานำกฎหมายมาปฏิบัติ (เชิงนโยบาย) ไม่ใช่ว่าปฏิบัติตามกระแส บอกว่าเด็กพิการถูกเมื่อเรียนจะต้องจัดห้องเรียนพิเศษให้ นี่แค่ยกตัวอย่าง หรือคนพิการคนหนึ่งเข็นรถวีลแชร์ขึ้นทางลาดที่ไม่ได้มาตรฐานแล้วเกิดอุบัติเหตุ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รับจัดการทางลาดใหม่แต่ไม่ได้สำรวจว่า ทางลาดนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ หรือในมหาวิทยาลัยมีห้องน้ำสำหรับคนพิการหรือไม่ หรือทุกๆ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยพร้อมหรือไม่ที่จะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น ฉะนั้นแล้วผมว่ามันจะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับการสื่อสารและนำไปสู่การปฏิบัติจริงๆ พร้อมนำไปทบทวนเพื่อชีวิตของคนพิการจะพัฒนาขึ้นอีกเยอะ คำว่าความเท่าเทียมของคนพิการจะเกิดขึ้นจริงๆ”

