“สมาร์ทบางกะปิ” การพัฒนาพื้นที่เมืองเพื่อคนทั้งมวล (Bangkapi Smart City)”
ผศ.ดร ณพงศ์ นพเกตุ กล่าวถึง รายละเอียดของโครงการ สมาร์ทบางกะปิ ภาพใหญ่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดที่เรียกว่ากรุงเทพฯ จะดีได้ด้วยมือเรา เราเป็นเจ้าของเมือง เป็นผู้อยู่อาศัย เป็นเจ้าของบ้าน ตอนนี้เจ้าของได้เกิดขึ้นเพราะว่าเราเกิดที่นี่ เราเติบโตหรือเราเข้ามาทำงานที่นี่ เมื่อเราเป็นเจ้าของบ้านเมืองแต่เรามองไปรอบๆ แล้วเห็นว่าเมืองที่เราทำงานอยู่ ที่ไม่ได้นะครับก็คือปกติก็มีปัญหาหลายด้าน จากการศึกษาพัฒนา Smart City เป้าหมายคือการเป็นเมืองที่ยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจ ความร่วมมือเพื่อทำให้เมืองยั่งยืน พบว่าบางกะปิมีปัญหา 3 ด้าน 1) การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม 2) การพัฒนาการเดินทาง 3) การร่วมมือกันสร้างสรรค์เมือง
การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การศึกษา การพักผ่อน การเดินทางเชื่อมต่อล้อ ราง เรือ ควรแก้ปัญหาเมืองในภาพใหญ่ ซึ่งเป็นเมืองที่รถติด แยกบางกะปิ แยกลำสาลี แยกบ้านม้า แยกนิด้าเป็นโดยที่รถติดหมด จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ประเด็นที่เห็นชัดตรงกัน คือ รถติดหนักไม่มีทางเลือกขนส่งมวลชน ประกอบกับโอกาสเห็นว่า รถไฟฟ้ากำลังจะมา แต่ก็มีอุปสรรครถไฟฟ้าใช้งานได้จริงหรือเปล่า คนบริเวณโดยรอบสามารถเดินทางสัญจรโดยที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ คือ เดินเท้าหรือเข็นรถเข็น การเดินทางเพื่อคนทุกคน แบ่งเป็น 1) จะต้องเป็นเมืองที่น่าอยู่ 2) เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning) 3) เชิงเศรษฐกิจ ดังนั้นประเด็นเรื่องจุดเชื่อมต่อจึงมาสู่แผนปฏิบัติถ้าจะปรับปรุงการสัญจรเพื่อทุกคนให้เกิดการครอบคลุมรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์ขนส่งสาธารณะ ทั้งระบบ ล้อ ราง เรือ จะต้องปรับปรุงฟุตบาท ประเด็นที่ 2 ทำฟุตบาทแล้วยังไม่เพียงพอ อาจจะต้องทำ Double layer ทำพื้นที่ยกระดับเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อในระดับสะพานลอยที่สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าได้ โดยขนาดของพื้นที่ประมาณ 1,500 เมตร รวมสวนสาธารณะ 3 สวน พื้นที่รวมกัน 2,400 ตารางเมตร
การออกแบบเพื่อคนทุกคน สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างครบถ้วน เสมอภาคกัน เท่าเทียมกันอันนี้เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งกรุงเทพฯ ณ วันนี้สำนักงานโยธามีมาตรฐานกลางในเรื่องของการปรับปรุงฟุตบาททางเท้าให้เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น ฟุตบาทสูงเกินมาตรฐานใหม่อยู่ที่ 5 เซนติเมตร บริเวณทางแยก ทางข้ามต้องมีเพื่อให้รถเข็น ผู้สูงวัย รถจักรยาน สามารถขึ้นลงได้ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ผู้พิการทางอื่นๆ เช่น สายตา หรือ ทางการได้ยิน สามารถที่สังเกตและใช้บริการได้ หัวใจของการพัฒนาพื้นที่เมืองที่เป็นของคนทุกคน คือ พื้นที่ของการเดินทาง
รถไฟฟ้าสายสีเหลืองกำลังจะแล้วเสร็จในปี 2566 โครงการนี้กำหนดการประมาณ 500 วัน กำหนดการแรกหมดสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่ว่าอย่างที่วิศวกรดำเนินโครงการนี้รายงานว่าเสร็จประมาณ 10% จากนั้นต้องมีการต่ออายุสัญญานี้แน่นอน สำหรับสะพานลอยยกระดับ เพราะฉะนั้นกำหนดวันแล้วเสร็จต้องแล้วเสร็จพร้อมๆ กัน แนวคิดของกรุงเทพฯ ให้โครงสร้างหลักเสร็จก่อน ฟุตบาททำง่ายกว่าแต่อย่าลืมว่าถ้าไม่ทำมันก็คือไม่ได้ทำ กำหนดระยะเวลาในงบประมาณ หรือไม่ใช้งบประมาณของกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยวันคิดไปถึงวันที่มีงบประมาณใช้คือ 2 ปี ถ้าเราไม่ใส่เป็นงบประมาณเร่งด่วน ณ วันนี้ ข้างบนเสร็จเกิดภาพที่แย่มาก ดังนั้นตอนนี้เราต้องทำให้กรุงเทพฯ ยอมรับว่าพื้นที่ข้างล่างต้องเป็นไปพร้อมกัน แต่เชื่อมั่นว่าผู้ว่าฯ ลองลงไปสำรวจพื้นที่จะบอกว่า สะพานลอยคนข้ามสูง มันได้รับการเพิ่มจากโครงการสะพานลอยยกระดับหรือสกายวอล์คอาจเอาสะพานลอยคนข้างออกบางจุด เปลี่ยนเป็นทางข้ามข้างล่าง ท่านต้องมาสำรวจด้วยตัวเอง
ภายในปี 2567 จะได้เห็น inclusive Link หรือว่า ทางสัญจรที่ครอบคลุมคนทุกคนเป็น 2 ระดับคือระดับพื้นดินกับระดับบนที่เชื่อมเข้าสู่สถานีเรือไฟฟ้า ศรีบุญเรือง สถานีบางกะปิ บ้านม้าครับทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เป็นต้น
ผศ.ดร ณพงศ์ นพเกตุ ฝากทิ้งท้ายว่า กรุงเทพดีด้วยมือเรา ขอขอบคุณ คุณสว่าง ศรีสม ที่ร่วมมือลงมือปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง ขอบคุณทุกองค์กรรวมทั้งกรุงเทพมหานคร ที่เชื่อมั่นในเรื่องของการที่กรุงเทพฯจะดีได้ด้วยมือเรา และผมเชื่อว่า ถ้าเกิดว่ามีจุดหนึ่งที่ทำได้ บ้านเมืองดีด้วยมือเราได้ ต่อไปทุกเมืองจะดีได้ด้วยมือของเราเอง
การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การศึกษา การพักผ่อน การเดินทางเชื่อมต่อล้อ ราง เรือ ควรแก้ปัญหาเมืองในภาพใหญ่ ซึ่งเป็นเมืองที่รถติด แยกบางกะปิ แยกลำสาลี แยกบ้านม้า แยกนิด้าเป็นโดยที่รถติดหมด จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ประเด็นที่เห็นชัดตรงกัน คือ รถติดหนักไม่มีทางเลือกขนส่งมวลชน ประกอบกับโอกาสเห็นว่า รถไฟฟ้ากำลังจะมา แต่ก็มีอุปสรรครถไฟฟ้าใช้งานได้จริงหรือเปล่า คนบริเวณโดยรอบสามารถเดินทางสัญจรโดยที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ คือ เดินเท้าหรือเข็นรถเข็น การเดินทางเพื่อคนทุกคน แบ่งเป็น 1) จะต้องเป็นเมืองที่น่าอยู่ 2) เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning) 3) เชิงเศรษฐกิจ ดังนั้นประเด็นเรื่องจุดเชื่อมต่อจึงมาสู่แผนปฏิบัติถ้าจะปรับปรุงการสัญจรเพื่อทุกคนให้เกิดการครอบคลุมรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์ขนส่งสาธารณะ ทั้งระบบ ล้อ ราง เรือ จะต้องปรับปรุงฟุตบาท ประเด็นที่ 2 ทำฟุตบาทแล้วยังไม่เพียงพอ อาจจะต้องทำ Double layer ทำพื้นที่ยกระดับเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อในระดับสะพานลอยที่สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าได้ โดยขนาดของพื้นที่ประมาณ 1,500 เมตร รวมสวนสาธารณะ 3 สวน พื้นที่รวมกัน 2,400 ตารางเมตร
การออกแบบเพื่อคนทุกคน สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างครบถ้วน เสมอภาคกัน เท่าเทียมกันอันนี้เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งกรุงเทพฯ ณ วันนี้สำนักงานโยธามีมาตรฐานกลางในเรื่องของการปรับปรุงฟุตบาททางเท้าให้เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น ฟุตบาทสูงเกินมาตรฐานใหม่อยู่ที่ 5 เซนติเมตร บริเวณทางแยก ทางข้ามต้องมีเพื่อให้รถเข็น ผู้สูงวัย รถจักรยาน สามารถขึ้นลงได้ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ผู้พิการทางอื่นๆ เช่น สายตา หรือ ทางการได้ยิน สามารถที่สังเกตและใช้บริการได้ หัวใจของการพัฒนาพื้นที่เมืองที่เป็นของคนทุกคน คือ พื้นที่ของการเดินทาง
รถไฟฟ้าสายสีเหลืองกำลังจะแล้วเสร็จในปี 2566 โครงการนี้กำหนดการประมาณ 500 วัน กำหนดการแรกหมดสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่ว่าอย่างที่วิศวกรดำเนินโครงการนี้รายงานว่าเสร็จประมาณ 10% จากนั้นต้องมีการต่ออายุสัญญานี้แน่นอน สำหรับสะพานลอยยกระดับ เพราะฉะนั้นกำหนดวันแล้วเสร็จต้องแล้วเสร็จพร้อมๆ กัน แนวคิดของกรุงเทพฯ ให้โครงสร้างหลักเสร็จก่อน ฟุตบาททำง่ายกว่าแต่อย่าลืมว่าถ้าไม่ทำมันก็คือไม่ได้ทำ กำหนดระยะเวลาในงบประมาณ หรือไม่ใช้งบประมาณของกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยวันคิดไปถึงวันที่มีงบประมาณใช้คือ 2 ปี ถ้าเราไม่ใส่เป็นงบประมาณเร่งด่วน ณ วันนี้ ข้างบนเสร็จเกิดภาพที่แย่มาก ดังนั้นตอนนี้เราต้องทำให้กรุงเทพฯ ยอมรับว่าพื้นที่ข้างล่างต้องเป็นไปพร้อมกัน แต่เชื่อมั่นว่าผู้ว่าฯ ลองลงไปสำรวจพื้นที่จะบอกว่า สะพานลอยคนข้ามสูง มันได้รับการเพิ่มจากโครงการสะพานลอยยกระดับหรือสกายวอล์คอาจเอาสะพานลอยคนข้างออกบางจุด เปลี่ยนเป็นทางข้ามข้างล่าง ท่านต้องมาสำรวจด้วยตัวเอง
ภายในปี 2567 จะได้เห็น inclusive Link หรือว่า ทางสัญจรที่ครอบคลุมคนทุกคนเป็น 2 ระดับคือระดับพื้นดินกับระดับบนที่เชื่อมเข้าสู่สถานีเรือไฟฟ้า ศรีบุญเรือง สถานีบางกะปิ บ้านม้าครับทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เป็นต้น
ผศ.ดร ณพงศ์ นพเกตุ ฝากทิ้งท้ายว่า กรุงเทพดีด้วยมือเรา ขอขอบคุณ คุณสว่าง ศรีสม ที่ร่วมมือลงมือปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง ขอบคุณทุกองค์กรรวมทั้งกรุงเทพมหานคร ที่เชื่อมั่นในเรื่องของการที่กรุงเทพฯจะดีได้ด้วยมือเรา และผมเชื่อว่า ถ้าเกิดว่ามีจุดหนึ่งที่ทำได้ บ้านเมืองดีด้วยมือเราได้ ต่อไปทุกเมืองจะดีได้ด้วยมือของเราเอง

