“นักพยากรณ์ดวงชะตาตาบอด”
คุณสุทัศน์ เล่าว่า ผมตาบอดตั้งแต่กำเนิด ทางบ้านเป็นห่วงมาก ไม่ให้ออกข้างนอก ไม่ได้เรียน จนอายุ 17 ปี ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่บอกทางบ้านว่า ไม่ไหวแล้วต้องหาอะไรทำ เรียน หรือฝึกอาชีพ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของตัวเองและครอบครัวได้ เพราะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีใครมาดูแลเราไปตลอด เป็นสิ่งที่ยากที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง เพราะกลัวรถ กลัวตกหลุม แต่เมื่อได้ออกมาฝึกที่ มูลนิธิคอลฟิลด์ ได้อบรมเรื่องการใช้ไม้เท้าขาว การช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น สามารถพึ่งพาตัวเองได้ สิ่งที่ยากที่สุดคือ เราต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเอง
เริ่มต้นการเรียนจาก สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จนจบปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์สาขาสื่อสารมวลชน ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อมาจบปริญญาโทที่จุฬาฯ สาขาปรัชญา จึงต้องพยายามทุ่มเทให้มากขึ้นและอาจจะมากกว่าคนทั่วไป โชคดีที่ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยคนตาบอดเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
อาชีพหมอดูสามารถทำได้ทั้งเป็นงานหลักและงานเสริม ซึ่งคนตาบอดบางคนเปิดร้านนวดและดูดวงไปด้วย หมอดูคนตาบอดเหล่านี้ได้มีโอกาสออกบูธ ออกนิทรรศการ งานต่าง ๆ ทำให้มีรายได้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ในปัจจุบันประชาชนมีปัญหา มีความทุกข์ มีความรักที่ผิดหวัง จะนึกถึงหมอดู หมอดูคนตาบอดอย่างเราเปรียบเสมือน เป็นที่รองรับความทุกข์ของคนทั่วไป ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ซี่งได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หมอดูเหมือนคนที่รวมเอาศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ เอาไว้ เรื่องของจิตวิทยา ควรพูดอย่างไรให้คนที่มีความทุกข์รู้สึกดี มีวิธีอย่างไรที่จะรับฟังเขา ในบางครั้งเขาแค่ต้องการให้มีคนรับฟังเขา บางครั้งอยากรู้อนาคต หมอดูต้องมีความรู้ในเรื่องของวาทศิลป์ การพูด ไหวพริบที่ดี มีจิตวิทยาที่ดี และที่สำคัญต้องรู้ทฤษฎีของโหราศาสตร์ด้วยมิฉะนั้นคุณจะเหมือนกับหมอเดา อาชีพหมอดูเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชื่อและศรัทธาของคน คือ หมอดูที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง จากการประกอบอาชีพนี้ บางครั้งเขาไม่ต้องพูดอะไรมากคนก็เชื่อ ความเชื่อที่มันผูกกับตัวเขาเป็นสิ่งสำคัญ ต้องค่อย ๆ สะสมประสบการณ์ เป็นคนช่างสังเกต และรวบรวมเอาสิ่งที่ดี ๆ มาไว้ในตัว ในปัจจุบันหมอดูเป็นที่พึ่งทางจิตใจ มีความผูกพันในวิถีชีวิตของคนไทยมาตลอด อาชีพหมอดูยังดำรงอยู่คู่สังคมไทยและอนาคตอันยาวไกล
คุณสุทัศน์ ทิ้งท้ายว่า “การค้นหาตัวเองไปเรื่อย ๆ อาจจะไม่พบวิธีการ แต่ผมเสนอว่า เป็นไปได้ไหมว่าคุณเลือกมาสักอันแล้วพยายามรักในสิ่งที่มีอยู่ และไม่ใช่แสวงหาสิ่งที่รัก เป้าหมายสำคัญคือ การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างร่มเย็นเป็นสุขอยู่ด้วยกันอย่างสันติ”