ขณะนี้คุณอยู่ที่ ›

มารู้จัก...ภาวะออทิสติก

วันที่ลงข่าว: 10/11/17

โดบ : อ.พญ.ศศิธร จันทรทิณ  ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

        ในโอกาสครบรอบ 72 ปี ของภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ซึ่งมีการจัดงานนิทรรศการและกิจกรรมบริการประชาชนผ่านไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อให้สาระความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเด็ก ในที่นี้จะพาเราไปรู้จักกับภาวะออทิสติกว่าเป็นอย่างไร และหากคุณพ่อคุณแม่เจอกับเหตุการณ์นี้ต้องทำอย่างไร มาหาคำตอบกัน

        ภาวะออทิสติก หรือในปัจจุบันเรียกว่า ออทิซึมสเปกตรัม เป็นความผิดปกติของสมองอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความบกพร่องในพัฒนาการด้านการพูดสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ร่วมกับการมีพฤติกรรมและความสนใจที่เป็นแบบแคบจำกัดหรือเป็นแบบแผนซ้ำ ๆ โดยอาจเริ่มแสดงอาการตั้งแต่วัยเด็กเล็กและเป็นต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่

        เด็กที่มีภาวะออทิสติกมักจะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ปกติในขวบปีแรก อาการมักเริ่มสังเกตได้ในขวบปีที่สองเมื่อเด็กยังไม่พูดเป็นคำที่มีความหมาย ไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อไม่ทำตามสั่ง ไม่ค่อยสบตา โดยเด็กอาจไม่พูดเลย พูดเป็นคำที่ไม่มีความหมาย หรือสื่อสารโดยดึงมือพ่อแม่ให้ทำสิ่งที่ต้องการ บางคนอาจเคยพูดเป็นคำแล้วหยุดพูดไปในช่วงอายุขวบครึ่งถึงสองขวบ เด็กบางคนพูด แต่พูดแบบผิดปกติ เช่น พูดทวนคำของคนอื่น ใช้คำศัพท์ไม่ถูก พูดซ้ำ ๆ มีภาษาท่าทางและการแสดงสีหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือไม่เข้าใจภาษาท่าทางของผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีอาการของความบกพร่องในด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เด็กเล็กอาจดูเหมือนไม่กลัวคนแปลกหน้าเหมือนเด็กทั่วไป ชอบเล่นคนเดียว ไม่แสดงอารมณ์สนุกหรือความสนใจร่วมกับผู้อื่น ไม่เล่นสมมติ เด็กโตหน่อยอาจไม่สนใจที่จะเล่นกับเพื่อน ไม่มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิท หรืออาจไม่สนใจที่จะมีเพื่อนเลย ส่วนด้านพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือความสนใจที่แคบจำกัด เช่น เอาของเล่นมาเรียงต่อกันหรือหมุนเล่นไปมา เล่นซ้ำ ๆ ไปสถานที่เดิม ๆ หรือมีกิจวัตรประจำวันที่เป็นแบบแผนเปลี่ยนแปลงได้ยากด้วยค่ะ

 

        ในการวินิจฉัยแพทย์จะอาศัยข้อมูลจากประวัติพัฒนาการ การตรวจร่างกายและการประเมินพฤติกรรมของเด็ก ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการทดสอบที่จำเพาะสำหรับภาวะออทิสติก แต่อาจมีการส่งตรวจการได้ยินเพื่อแยกจากการได้ยินบกพร่อง

        ส่วนการรักษาต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างพ่อแม่ ทีมผู้รักษา และคุณครูที่โรงเรียน การรักษาที่ต้องทำไปพร้อม ๆ กัน คือ การกระตุ้นพัฒนาการ การฝึกทักษะ การแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และการช่วยเหลือด้านการเรียน ส่วนการใช้ยาอาจมีความจำเป็นหากมีอาการขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง หงุดหงิด ก้าวร้าว หรือกระตุ้นตัวเองร่วมด้วย และเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก

        สิ่งสำคัญ เมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกมีพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะในด้านภาษาและสังคม ควรต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็กเพื่อให้การวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด และในระหว่างที่รอพบแพทย์ ควรกระตุ้นพัฒนาการลูก ด้วยการเล่นกับลูกมากขึ้น ฝึกการสบตา ฝึกให้เด็กพูดตาม ฝึกให้ชี้อวัยวะบนใบหน้า หรือให้ทำตามคำสั่งง่าย ๆ จะช่วยพัฒนาลูกในเบื้องต้นได้มาก

 

 

กิจกรรมดี ๆ ที่ศิริราช

#เชิญชวนร่วมกิจกรรมวันเบาหวานโลก ประจำปี 2560 “นานามิติผู้หญิงและเบาหวาน” ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เวลา 08.30-15.00 น. ณ ศาลาศิริราช 100 ปี รพ.ศิริราช บริการตรวจสุขภาพ ฟรี (เจาะเลือด ควรงดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง สามารถดื่มน้ำเปล่าได้) จำนวนจำกัด 300 คน และเวลา 11.30 ฟังเสวนา “ผู้หญิงยุคใหม่ รู้ทันเบาหวานขณะตั้งครรภ์” สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เบาหวานศิริราช ตึกผู้ป่วยนอก ชั้น 6 รพ.ศิริราช โทร. 0 2419 9568-9

 

#จัดโครงการ “เลี้ยงเด็กยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างไร ให้ฉลาด อารมณ์ดี มีสุขภาพแข็งแรง” ระหว่างวันที่ 18-22 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมอรุณ เนตรศิริ ตึกเจ้าฟ้ามหาจักรี ชั้น 2 ขอเชิญผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์รับเลี้ยงและพัฒนาการศิริราช โทร. 0 2419 5722, 0 2419 9978 (ธัญญา/ สุวรรณี)

ที่มาของข่าว หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2560
^ กลับสู่เนื้อหาหลัก