แนวทางในการทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ตอนที่ 2 (02/02/2011)
ฉันจะพัฒนาการทำ IEP ของตนเองได้อย่างไร
ควรทำอะไรก่อนการประชุม IEP
- บอกครอบครัวและครูของคุณว่า คุณสนใจในการเข้าร่วมประชุม IEP ครั้งต่อไป เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่และคุณครูของ คุณ เพราะว่าพวกเขาจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือคุณ
- ถามคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูว่า เมื่อไรจะถึงกำหนดการประชุมทบทวน IEP ครั้งต่อไป จดวันที่ไว้
- ขอสำเนา IEP ฉบับปัจจุบันจากคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครู
- อ่าน IEP ของคุณเองอย่างระมัดระวัง IEP มีหลายส่วน..................
- ถามคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูให้อธิบายสิ่งที่เขียนลงใน IEP ทีละส่วนทีละส่วน
ถามคำถาม ให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจแต่ละส่วนและข้อมูลใน IEP ของคุณ
ส่วนต่างๆ ใน IEP
ตามกฎหมายแล้ว IEP ของคุณต้องรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ ตามปกติแล้วข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมเป็นส่วนต่างๆ ของ IEP IEP ฉบับใหม่ของคุณจะประกอบด้วยข้อมูลส่วนต่างๆ เหล่านี้
- ระดับปัจจุบันของการแสดงผลทางการศึกษา: ส่วนนี้รวมไปถึงข้อมูลที่ถี่ถ้วนว่า คุณกำลังเรียนอะไรบ้างในโรงเรียน และบางครั้งก็แสดงทัศนะอื่นๆ เกี่ยวกับชีวิตของคุณด้วย
- เป้าหมายของแต่ละปี แตกย่อยเป็นวัตถุประสงค์ระยะสั้นๆ หรือจุดมาตรฐาน
- มีการศึกษาพิเศษหรือบริการช่วยเหลืออื่นใดที่โรงเรียนได้ตระเตรียมให้ท่าน
- คำอธิบายว่า มีกี่วันที่คุณไม่ได้เข้าร่วมชั้นเรียนหรือกิจกรรมกับเด็กปกติ
- คุณจะต้องการการปรับเปลี่ยนอย่างไร ถ้ามีการทดสอบในระดับชาติ หรือคำอธิบายว่าทำไมการทดสอบครั้งนี้จึงไม่เหมาะสมกับคุณ ถ้าคุณไม่ทดสอบครั้งนี้แล้ว IEP ของคุณต้องระบุว่า คุณจะทดสอบอย่างไรแทน
- เมื่อไรและที่ไหนที่โรงเรียนจะเริ่มให้บริการกับคุณ บริการนั้นมีบ่อยแค่ไหน และความคาดหวังว่าบริการจะกินเวลานานเท่าไร
- โรงเรียนจะวัดความก้าวหน้าไปยังเป้าหมายของคุณอย่างไร และโรงเรียนจะรายงานความก้าวหน้าให้กับคุณพ่อคุณแม่ของคุณอย่างไร
- บริการช่วงเปลี่ยนผ่าน (จากโรงเรียนสู่อาชีพหรือมหาวิทยาลัย) ที่คุณต้องการเพื่อความพร้อมสำหรับชีวิตหลังจบจากมัธยมศึกษาตอนปลาย
การเขียน IEP ของคุณ
1. คุณจะต้องใช้กระดาษเปล่าหลายแผ่น ดินสอหรือปากกา (ถ้าคุณชอบใช้คอมพิวเตอร์ ก็เป็นการดีเหมือนกัน หรือเครื่องบันทึกเสียง คุณอาจให้เพื่อนจดบันทึกให้ด้วยเหมือนกัน)
2. เริ่มต้นโดยการบรรยายความบกพร่องของคุณ
* ความบกพร่องของคุณเรียกว่าอะไร
* ความบกพร่องของคุณมีผลกระทบต่อการเรียนที่โรงเรียนและที่บ้านของคุณอย่างไร (ตัวอย่างเช่น สิ่งไหนในโรงเรียนที่คุณรู้สึกว่าทำได้ยากขึ้นเนื่องเพราะความบกพร่องของ คุณ)
* คุณคิดว่าอะไรที่สำคัญที่คนอื่นๆ ควรรู้เกี่ยวกับความบกพร่องของคุณ
ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะกล่าวอย่างไร ให้คิดว่านักเรียนที่ต้องบันทึกเสียงควรจะพูดว่าอะไร พวกเขาพรรณนาถึงความบกพร่องของตนเองว่าอย่างไร
3. ดูที่เป้าหมายของ IEP ฉบับเก่า (รวมถึงวัตถุประสงค์ระยะสั้นหรือจุดมาตรฐาน) คุณคิด
ว่าคุณได้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์/จุดมาตรฐานแล้วหรือยัง ทำเครื่องหมายที่
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ท่านบรรลุแล้ว
4. เป้าหมายและวัตถุประสงค์/จุดมาตรฐานใดที่ท่านยังไม่บรรลุ เขียนสิ่งเหล่านี้ลงบน
กระดาษ มันอาจสำคัญที่จะรวมใน IEP ฉบับใหม่ของคุณ
5. อะไรคือจุดแข็งและความต้องการในแต่ละชั้นหรือวิชา ทำบัญชีไว้ นี่อาจยากที่จะทำ
มีคำแนะนำที่จะช่วยเหลือคุณดังนี้
* เริ่มต้นด้วยกระดาษเปล่า เขียนหัวบนกระดาษแผ่นหนึ่งว่า “จุดแข็ง” บนอีกแผ่นหนึ่งว่า “ความต้องการ”
* ถามคำถามตัวเองด้วยส่วนที่เขียนว่า “ถามตัวเอง” ดังข้างล่าง นี่จะช่วยคุณคิดเกี่ยวกับจุดแข็งและความต้องการของคุณเอง เขียนความคิดลงบนกระดาษ
“จุดแข็ง” และ “ความต้องการ”
ถามตัวเอง
- คุณเข้าชั้นเรียนวิชาใดบ้าง ทำบัญชีไว้
- ชั้นเรียนวิชาใดดีที่สุดสำหรับคุณ
- คุณสามารถทำอะไรได้ดีในชั้นเรียนวิชานี้
เหล่านี้คือจุดแข็งของคุณ (ตัวอย่างเช่น อ่าน เขียน ฟัง ทำงานเป็นกลุ่มทำงานลำพัง วาด ทำการบ้าน...)
- อะไรที่ช่วยให้คุณทำได้ดี
เหล่านี้อาจเป็นจุดแข็งของคุณ (ตัวอย่างเช่น ความสนใจในวิชานั้นๆ
ความจำของคุณ ความอดทน ความมุ่งมั่น ความพยายาม ความ
ช่วยเหลือของคนอื่นๆ (อะไรที่เป็นพิเศษ) วิธีที่ครูนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ)
- ชั้นเรียนวิชาใดที่ยากที่สุดสำหรับคุณ
- สิ่งที่ยากที่สุดในชั้นเรียนวิชานี้สำหรับคุณคืออะไร
เหล่านี้คือขอบเขตที่คุณต้องทำในระหว่างปีการศึกษา (ตัวอย่างเช่น การให้ความสนใจ การอ่านหนังสือ การฟังและการนั่งประจำที่ การจดจำข้อมูลใหม่ การทำการบ้าน การทำงานเป็นกลุ่ม...)
- การชดเชยในการเรียนแบบใดที่จะช่วยคุณให้เรียนหนังสือได้ดีขึ้นในชั้นเรียนนั้นๆ
ให้ดูบัญชีการชดเชยในการเรียนในส่วนข้างล่างต่อไปที่เขียนว่า “บัญชีการชดเชยในการเรียน” เขียนลงไปว่าอะไรจะช่วยคุณในชั้นเรียนยากๆ
- คุณจำเป็นต้องทำอะไรอีกในชั้นเรียนวิชาอื่นๆ
สำรวจไปทีละวิชาและทำบัญชีสิ่งที่ยากสำหรับคุณในแต่ละวิชา ให้เขียนเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น ในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ คุณอาจพบว่า“เศษส่วน” เป็นคำที่เป็นปัญหา หรือทักษะคณิตศาสตร์อื่นๆ ที่ยากมาก
- การชดเชยในห้องเรียนแบบใดที่จะช่วยคุณในแต่ละวิชาทำบัญชีสำหรับแต่ละวิชาไว้ จะช่วยคุณได้
6. แสดงเป้าหมายใน IEP ฉบับเก่าให้กับคุณพ่อคุณแม่และคุณครูดู พวกเขาคิดว่าคุณบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นไหม เป้าหมายใดที่คุณไม่ประสบผลสำเร็จ เพิ่มความคิดของพวกเขาในบัญชีที่คุณเขียนในข้อ 4 ข้างบน
7. ถามคุณครูของคุณว่า อะไรคือจุดแข็งของคุณในแต่ละวิชา เขียนความคิดลง
8. เขียนเป้าหมายและวัตถุประสงค์/จุดมาตรฐานสำหรับปีนี้ โดยใช้บัญชีที่จดจุดแข็งและความต้องการของคุณ รวมทั้งจากความเห็นของคุณพ่อคุณแม่และคุณครู
9. บรรยายถึงการชดเชยในห้องเรียนที่คุณอาจต้องการในแต่ละวิชาเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ใหม่นี้
10. คิดถึงการวางแผนสำหรับอนาคตและสิ่งที่คุณจะทำหลังจากจบจากมัธยมศึกษาตอน ปลาย คุยกับคุณพ่อคุณแม่และคุณครูว่า คุณควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการเตรียมพร้อม นี่เรียกว่า เป็นการวางแผนช่วงเปลี่ยนผ่าน
11. ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่และคุณครูที่จะเขียน IEP ฉบับร่างซึ่งรวมข้อมูลทั้งหมดข้างบน ทำสำเนาสำหรับตนเองที่จะเข้าร่วมการประชุม IEP ทำสำเนาให้กับทุกๆ คนที่จะเข้าร่วมการประชุม
บัญชีการชดเชยในห้องเรียน
มาตรา 504 ของพระราชบัญญัติการฟื้นฟูปี 1973 ของสหรัฐอเมริกาเป็นกฎหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนพิการ กฎหมายนี้กำหนดว่า ต้องมีการชดเชยที่เหมาะสมในห้องเรียน แต่อะไรคือการชดเชยที่เหมาะสม
การชดเชยที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่โรงเรียนหรือครูของคุณสามารถทำได้เพื่อให้ เป็นการง่ายสำหรับคุณที่จะเรียนรู้การปรับเปลี่ยนสิ่งที่คุณกำลังเรียนหรือ วิธีที่พวกเขากำลังสอน การชดเชยทั่วไปบางอย่างที่โรงเรียนทำเพื่อนักเรียนที่บกพร่องมีดังต่อไปนี้
การชดเชยการจดโน้ต
- ใช้เทปบันทึกเสียงในชั้นเรียน
- ใช้โน้ตของนักเรียนคนอื่น
- มีผู้จดโน้ตให้ในชั้นเรียน
- ใช้โน้ตของครู
- ใช้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ดีด
การชดเชยการทดสอบ
- ขยายเวลาการทดสอบให้
- ทำการทดสอบในสถานที่เงียบๆ
- อ่านแบบทดสอบให้คุณฟัง
- ทำการทดสอบด้วยปากเปล่า
การชดเชยเพิ่มเติม
- ใช้หนังสือเรียนอ่านใส่เทป
- มีหนังสือชุดสำหรับบ้านและโรงเรียนต่างหาก
- มีห้องน้ำพิเศษ
- ใช้เครื่องคิดเลขหรือพจนานุกรมในชั้นเรียน
- มีเวลาเพิ่มเติมในแต่ละชั้นเรียน
- นั่งแถวหน้าชั้นเรียน
- ได้เวลาเพิ่มเติมที่จะทดสอบ PSAT (การสอบเตรียมความพร้อมนักเรียนที่มาจากโรงเรียนต่างกันให้มีมาตรฐานเดียว กัน) หรือ SAT (การสอบเข้ามหาวิทยาลัย)
(ติดตามตอนต่อไป)
โดย พรรษชล ศรีอิสราพร